Saturday, October 09, 2004

มิตซูบิชิ เปิดหน้ากระบะตัวใหม่ - เรเดอร์


2006 Mitsubishi Raider (ภาพและข้อมูลจาก autoweek.com)Posted by Hello

เมื่อวันก่อนได้รูปด้านท้ายของกระบะมิตซูบิชิเรเดอร์โมเดล 2006 ผู้จะเข้าตลาดกระบะขนาดกลางของอเมริกันในปีหน้า มาวันนี้ออโตวีคได้ลงภาพเสก็ตช์มุมเฉียงสามสี่ด้านหน้า ส่วนตัวต้นแบบคันจริงในเดือนมกราที่จะถึงจะได้เห็นกันในงานดีทรอยท์ออโตโชว์

ก็ลองเดากันดูครับว่า มีเค้าสตราดาใหม่ที่กำลังบ่มอยู่บ้างหรือไม่

เรื่องที่เกี่ยวข้องกัน : กระบะตัวใหม่จากมิตซูบิชิ

ไททันจูเนียร์ - นิสสันฟรอนเทียร์ใกล้เข้ามาแล้ว


2005 Nissan Frontier (ภาพและข้อมูลจาก autoweek.com)Posted by Hello

หลังจากห่างเหินการเปลี่ยนโฉมหมดจดไป 16 ปี นิสสันก็เริ่มนับถอยหลังปล่อยรถกระบะฟรอนเทียร์ในตลาดอเมริกา และเหมือนกับยี่ห้ออื่น ๆ กระบะรุ่นเล็กจากนิสสันคันนี้จะมีเรือนร่างที่ไม่เล็กอีกต่อไป

ฟรอนเทียร์คันนี้ถอดแบบมาจากนิสสันไททัน โดยใช้แชสซี และเฟรมกล่องเหล็กกล้าเดียวกับไททัน ทว่าเป็นแบบฉบับที่เล็กลง รวมถึงร่วมใช้ระบบกันสะเทือนกับไททันหลายชิ้น

ฟรอนเทียร์วางตัวเหมือนไททัน คือ รุ่นคิงแคบก็จะเป็นแบบประตูตู้กับข้าว พร้อมกับแบบสี่ประตูครูว์แคบ จะขับสองขับสี่ก็เลือกกันได้ ฐานล้อฟรอนเทียร์ยาวกว่าเดิม 10 นิ้ว กว้างกว่าเดิม 1.6 นิ้ว และในห้องโดยสารขยายไปด้านละนิ้ว

ขุมกำลังหลักในตลาดเมืองคาวบอยคือ เบนซินหกสูบ 4.0 ลิตร 265 แรงม้า กำลังฉุด 284 ปอนด์-ฟุต ส่วนเครื่องสี่สูบมีให้เลือกรุ่นเดียวคือ คิงแคบขับสอง

ออฟชันที่เลือกใส่เพิ่มได้ก็มี ตัวคุมกันล้อลื่น four-wheel limited slip traction control ระบบคุมการลงเขา Hill Descent Control และระบบ locking rear differential อีเล็กทรอนิคส์

กำหนดวางตลาดคือ ธันวาคมนี้

เรื่องที่เกี่ยวข้อง :กระบะที่ดีที่สุดในเวลานี้ พะยี่ห้อนิสสัน , นิสสันฟรอนเทียร์ ปี 2005 บ้านเขา/บ้านเรา

อะแวนซาจากอินโดได้ฤกษ์บุกมาเลย์


Toyota Avanza (ข้อมูลจาก sg.biz.yahoo.com)Posted by Hello

อะแวนซา รถที่ถูกยี้เรื่องราคาอย่างหนักในเมืองไทย มีทางไปอีกประเทศ นั่นคือ นับแต่เดือนกันยายนนี้เจ้ามินิแวนอะแวนซาจะถูกส่งจากอินโดนีเซียเข้ามาเลเซียเดือนละ 2,000 คัน

โดยอะแวนซาฉบับมาเลเซียจะถูกนำไปแต่งเติมที่ Perodua Auto Corporation Sdn. Bhd. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือไดฮัทซุมอเตอร์ ก่อนที่ UMW Toyota Motor Sdn. Bhd. จะเป็นผู้จัดจำหน่ายต่อไป

ยอดขายเจ้าอะแวนซาในอินโดนีเซียเองนั้น หากนับตั้งแต่มกราคมจนถึงสิงหาคมนี้ ขายไปได้ 28,000 คันแล้ว

โปรตอน GEN-2 แฮทช์แบ็คที่บุกอังกฤษมีดีแค่ไหน


Proton GEN-2 (ข้อมูลและภาพจาก whatcar.co.uk) Posted by Hello

หลังจากเข้ายึดครองโลตัสบริษัทรถสปอร์ตของอังกฤษได้ร้อยเปอร์เซนต์ โปรตอน GEN-2 รถเชื้อชาติมาเลเซียถูกวางตัวเจาะตลาดอังกฤษ ดังเช่น แฮทช์แบ็คคันนี้มีราคาประมาณหนึ่งหมื่นหกร้อยปอนด์

ดูหน้าตาก็ใช้ได้นะครับ ด้านหลังนี่ได้เค้าเบนซ์ซีคลาสแฮทช์แบ็คอยู่บ้าง แต่โดยรวมก็ไม่ขัดตาเท่าไร แต่ดีไม่ดีแค่ไหน ดูการที่สื่ออังกฤษเขาให้แต้มก็แล้วกัน

จากเกณฑ์ของ WhatCar แห่งอังกฤษ โปรตอน GEN-2 ได้ดาวมาแค่ดวงเดียวจากห้า

นั่นคือ ความประณีต ความคุ้มค่า ความทนทาน ความจุกจิก ความปลอดภัย และการออกแบบภายในไม่ค่อยดีนัก

ทว่าที่เด่นก็คือช่วงล่างและการขับขี่ ซึ่งได้โลตัสที่กลายเป็นสำนักรถสปอร์ตในเครือมาช่วยดูการพัฒนาแชสซี ทำให้ได้การขับขี่ที่ค่อนข้างดี

โตโยต้าริเริ่มทำไร่มันในอินโดนีเซีย

ที่อินโดนีเซีย โตโยต้าไม่เพียงแต่ผลิตรถยนต์ ทว่าตั้งแต่ปี 2001 แล้วที่โตโยต้ามีบริษัทชื่อ PT Toyota Bio Indonesia เพื่อทำการปลูกมันอย่างใหญ่โต

โดยเป้าหมายก็คือ การผลิตมันให้มากพอที่จะไปทำพลาสติคชีวภาพ เพื่อนำไปใช้เป็นชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องใช้ในบ้าน และวัสดุก่อสร้าง

เขาว่ากันว่าโตโยต้าไม่ได้ทำเล่นกับเรื่องนี้ เพราะพี่ต้าตั้งเป้าหมายที่จะมียอดขายจำนวนถึง 5 ล้านล้านเยนในปี ค.ศ. 2020

ในปี 2004 นี้โตโยต้าได้มันมา 5,000 ตัน ซึ่งผู้สันทัดกรณีบอกว่ายังน้อยไป เพราะต้องได้มากถึง 200,000 ตัน ถึง 300,000 ตัน จึงจะพอกับการทำพลาสติคชีวภาพในระดับอุตสาหกรรม

งานนี้ต้องเรียกว่า โตโยต้ามองไกล และกะจะกินรวบตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำเลยนะนี่

Friday, October 08, 2004

ฮอนด้าเปิดตัวแอคคอร์ดที่เหนือกว่าแอคคอร์ด


2005 Accord Hybrid ผู้ที่มาข่มแอคคอร์ดตัวธรรมดา (ภาพและข้อมูลจาก msnbc.msn.com)Posted by Hello

ฮอนด้าแอคคอร์ดไฮบริด เป็นรถลูกผสมคันที่สามของฮอนด้าที่ลงตลาดต่อจาก ฮอนด้าอินไซท์ และฮอนด้าซีวิคไฮบริด

ฮอนด้ามาในคราวนี้ส่อแววว่าจะไปได้ดี เพราะไม่ว่าจะในทางตัวเลขบนกระดาษ และในโลกแห่งความเป็นจริง แอคคอร์ดไฮบริดนั้นมีดีกว่าแอคคอร์ดธรรมดา

ข้อแรกที่ต้องชัดเจนแน่ คือ ประหยัดน้ำมันกว่า โดยขณะที่แอคคอร์ดธรรมดาหกสูบดื่มไว้ที่ 21 ไมล์ต่อแกลลอนสำหรับการขับในเมือง และ 30 ไมล์ต่อแกลลอนสำหรับการขับบนไฮเวย์ แอคคอร์ดไฮบริดทำได้ที่ 30 ไมล์ต่อแกลลอน(12.7 กิโลเมตรต่อลิตร) ขับเมือง และ 37 ไมล์ (15.7 กิโลเมตรต่อลิตร) ต่อแกลลอนขับไฮเวย์ นั่นคือ ถ้าขับในเมืองจะประหยัดน้ำมันมากกว่าเดิม 43% และหากเป็นการขับบนถนนไร้รถติด ไร้ไฟแดงจะประหยัดได้ 23% ตามลำดับ

แต่ที่ฮอนด้าทำมามากกว่า คือ แอคคอร์ดธรรมดาที่ว่าแรงอยู่แล้ว คือ 240 แรงม้า แต่เจ้าแอคคอร์ดลูกผสมไฟฟ้ากับเบนซินทำได้ถึง 255 แรงม้า และแรงฉุด 232 ปอนด์-ฟุต โดยแรงเกือบเต็มมาที่ต่ำกว่า 4000 รอบต่อนาที

เบื้องหลังของความสำเร็จของฮอนด้านั้น ว่ากันว่าอยู่ที่ใต้กระโปรงของแอคคอร์ดเป็นหลัก เพราะการทำรถลูกผสมใช่ว่าจะจับพ่วงมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไปดื้อ ๆ ง่าย ๆ

อันดับแรกก็ต้องปรับห้องเครื่อง โดยลดขนาดและน้ำหนัก เพื่อจะได้วางมอเตอร์ที่เรียกว่า Integrated Motor Assist (IMA) เข้าไปได้ โดยมอเตอร์ตัวนี้มีกำลัง 16 แรงม้า และแรงฉุด 100 ปอนด์-ฟุต

และที่เด่นที่สุดในการปรับแต่งก็คือ ตัวบริหารลูกสูบผันแปร Variable Cylinder Management (VCM) โดยเจ้าตัวนี้จะปิดการจ่ายน้ำมันให้แก่ลูกสูบ 3 กระบอกจาก 6 หากอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต้องการกำลังมาก เป็นต้นว่า ในระหว่างการขับเร็วคงที่บนไฮเวย์ ขับลงเขา หรืออื่น ๆ

อีกหนึ่งตัวช่วยมาจากเทคนิคการดับเครื่องยนต์เมื่อรถลดความเร็วลงต่ำกว่า 10 ไมล์ต่อชั่วโมงในระหว่างเหยียบเบรคหยุดรถ และจะติดเครื่องทันทีที่ปล่อยขาออกจากเบรค

ส่วนหัวใจของแอคคอร์ดไฮบริดก็คือ intelligent power unit (IPU) ที่ช่วยจัดแบ่งงานระหว่างเบนซินกับไฟฟ้า และช่วยจัดการชาร์ตแบตเตอรี่เมื่อผ่อนคันเร่ง หรือแตะเบรค

นอกจากนี้แอคคอร์ดยังใช้ระบบเกียร์ที่บางและเบากว่าในรถมาตรฐาน ใช้อลูมิเนียมที่ฝากระโปรง ที่ชิ้นส่วนระบบกันสะเทือน และแม้แต่ล้ออัลลอยก็ใช้สูตรเบา เรียกว่าพยายามหาจุดช่วยในทุกรูปแบบ

นั่นคือลีลาแห่งวิศวกรรม หันมาดูในโลกของผู้ใช้บ้าง

เพอร์รี เสติร์น แห่ง MSN Autos ได้ลองขับแอคคอร์ดทั้งสองแบบดูในวันเดียวกัน แล้วออกปากว่า เหลือเชื่อ เพราะแอคคอร์ดไฮบริดคันนี้ให้อาการขับเหมือนแอคคอร์ดมาตรฐานทุกประการ เพียงแต่ปรู๊ดปร๊าดกว่า และดูเหมือนรถจะเบากว่าเมื่อมอเตอร์ไฟฟ้าออกแรงช่วย มีสิ่งเพียงเล็กน้อยที่ต่างไปคือ การที่เครื่องดับในยามหยุดรถ และอาการสั่นพอสังเกตได้เมื่อเครื่องเริ่มทำงานใหม่ ทว่าก็ไม่ถึงกับเป็นการรบกวนแต่อย่างใด

ฮอนด้าตั้งราคาแอคคอร์ดไฮบริดนี้ไว้ที่ 30,000 เหรียญ นั่นคือมากกว่าแอคคอร์ดหกสูบมาตรฐานอยู่ 3,500 เหรียญ มีผู้ช่างคิดประมาณไว้ว่าถ้าเอาการคุ้มเงินที่เพิ่มต่างขึ้นมาอย่างเดียวก็ต้องขับกันแปดปี เจ้าไฮบริดถึงจะเริ่ม "ประหยัดค่าน้ำมัน"

แต่อย่างที่รู้กันว่า ในการใช้รถทุกวันนี้ มีสิ่งที่มากกว่าการประหยัดเงินอยู่หลายอย่าง นั่นอาจจะเป็นเหตุผลให้แอคคอร์ดลูกผสมคันนี้ขายได้

แม้ว่าหน้าตาแอคคอร์ดไฮบริดจะไม่ต่างกับตัวธรรมดา ฮอนด้าเองก็เพิ่มลูกเล่นมากกว่าเดิม เป็นต้นว่าเบาะหนัง ระบบที่นั่งอุ่นด้วยไฟฟ้า วิทยุดาวเทียม XM แอร์กระจายสองโซนต่างอุณหภูมิ เป็นต้น เพื่อให้ผู้ซื้อตัดสินใจง่ายขึ้น

แอคคอร์ดไฮบริดปี 2005 จะออกวางตลาด 3 ธันวาคมปีนี้

เรื่องที่เกี่ยวข้องกัน : โตโยต้าพรีอุส ไฮบริดตัวป่วน

มาสด้า 3 - ชิมลางรถที่หลายคนรอคอย


Masda 3 ฉบับแฮทช์แบ็ค 5 ประตู (ภาพและข้อมูลจาก triplezoom.com ผู้เป็นหนึ่งในสาวกซูมซูมตัวจริง) Posted by Hello

เห็นว่าหลาย ๆ คน ตั้งตารอ ตั้งตาลุ้นกับมาสด้า 3 กันมาก ผมก็เลยลองค้นข้อมูลเชิงลึกของมาสด้า 3 ดู ก็ไปได้ของ triplezoom.com ที่เสนอไว้ตอนที่มาสด้า 3 จะลงยุโรปเมื่อปลายปี 2003 ที่ผ่านมา อ่านดูแล้วเขาใช้คำพูดออกจะโปรมาสด้ามากไปหน่อย ก็ไม่เป็นไรผมเอามายำ แล้วก็เล่าสู่กันฟังต่อก็แล้วกัน

มาสด้า 3 หรือมาสด้าอะเซลา เป็นหนึ่งในคลื่นลูกใหม่ของมาสด้า บริษัทผลิตรถจากค่ายญี่ปุ่นที่หลังจากยึดสโลแกนซูม ซูม ซูมแล้ว ก็ดูจะทำรถตัวไหนออกมาถูกตา ถูกใจชาวบ้านไปถ้วนทั่ว

มาสด้า 3 เป็นรถที่ใหม่หมดจดทุกกระเบียด เพื่อมาแทนที่มาสด้าโปรทีเจ หรือ 323 อันเป็นรถที่ทำดีพอสมควร แต่ออกตัวขายช้าในบ้านเรา แถมโดนเบียดเรื่องขนาดที่ใหญ่กว่า และความสดจากคู่แข่งอย่างโคโรล่าอัลติส และซีวิค โปรทีเจจึงจำต้องรับบทมวยรอง

สำหรับอนุกรมนี้มาสด้าปล่อยตัวแฮทช์แบ็ค 5 ประตูออกมาก่อน แล้วก็ตามด้วยซีดาน 4 ประตู

เจ้าตัวแฮทช์แบ็คนั้นเรียกเสียงอุทานได้จากทุกคนที่เห็น เพราะเส้นสายนั้นคมกริบตั้งแต่หัวจรดท้าย บ่งบอกถึงอารมณ์ในความเคลื่อนไหว ดังที่มาสด้า 6 มาสด้า 2 และอาร์เอ็กซ์ 8 ได้กรุยทางไว้

อย่างไรก็ตาม หลาย ๆ คนอาจจะมองเห็นอัลฟาโรมิโออยู่ในมาสด้า 3 หรือแม้แต่ไพล่ไปถึงเล็กซัสอาร์เอ็กซ์ 300 นั้นก็ยังมี

ทว่ามาสด้า 3 ก็มีความลงตัวในตัวเองที่งดงาม และเมื่อเข้าไปภายใน ผู้ที่เคยสัมผัสต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ากว้างกว่าที่คิด

มาสด้า 3 แฮทช์แบ็ค ถูกปล่อยตัวออกมาโดยมีเครื่องให้เลือก 2 บล็อค คือ 1.6 ลิตร เอ็มแซดอาร์ 105 แรงม้า และ 2.0 ลิตร เอ็มแซดอาร์ 150 แรงม้า นอกจากนั้นมาสด้ายังมีแผนที่จะปล่อยตัว 1.4 ลิตร และ เครื่องดีเซลคอมมอนเรล 1.6 ลิตรออกมาในภายหลังด้วย (ตอนนี้ออกมาครบแล้ว - SM)

มาสด้า 3 ได้แม่แบบช่วงล่างมาจากมาสด้า 6 นั่นคือ ระบบกันสะเทือนหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท และระบบกันสะเทือนหลังแบบมัลติลิงค์ ส่วนพวงมาลัยนั้นรุ่น 2.0 ใช้เทคโนโลยีอีเล็คโตรไฮดรอลิคเพาเวอร์ ส่วนรุ่น 1.6 เป็นไฮดรอลิคเพาเวอร์ธรรมดา

ระบบความปลอดภัยนั้นถูกอัดมาเพียบ เป็นต้นว่า ระบบเบรคเอบีเอส 4 ล้อ พร้อมระบบกระจายแรงเบรคอีเล็คทรอนิคส์ (EBD) และมีระบบควบคุมการทรงตัว (DSC) กับระบบควบคุมการลื่นไถล (TCS) เป็นอ็อปชันให้เลือกใส่เพิ่ม ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสมรรถนะในการทรงตัว และการหยุดรถโดยตรง

ดิสก์หน้าหลังพร้อมกับตัวแวคูอัมบูสเตอร์ขนาดสิบนิ้ว ทำให้มาสด้า 3 มีระยะเบรคที่สั้นกว่าใคร ๆ ในรถกลุ่มเดียวกัน คือ 37 เมตร นอกจากนั้นมาสด้ายังใส่ไฟหน้าอัจฉริยะลงในมาสด้า 3 ด้วย (เดาว่าเปิดปิดอัตโนมัติ - SM)

การออกแบบโครงสร้างของมาสด้า 3 นั้นเดินตามแนว MAIDAS โดยมีดีไซน์แบบทริปเปิล H ซึ่งในสถานการณ์คับขันก็มีเข็มขัด กับถุงลมหน้าคู่ช่วย หรือหากใครไม่พอก็เลือกถุงลมข้างเพิ่มในตอนซื้อรถก็ได้ นอกจากนั้นพวงมาลัยหน้า และก้านเบรคยังยุบตัวได้ และอีกจิปาถะที่ทำให้มาสด้า 3 มีระบบปกป้องผู้โดยสารไม่น้อยหน้าใคร มาสด้าเองก็เชื่อมั่นว่ามาสด้า 3 จะได้รับการการันตีความปลอดภัยระดับ 4 ดาวหรือดีกว่าจากองค์กรของยุโรปด้วย

ดังนั้นใครที่มองหารถที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง มีการผลิตที่ประณีต และมีสมรรถนะที่ไม่น้อยหน้าใคร ก็ยากที่จะมองข้ามมาสด้า 3 ไปได้

และนับว่ามาสด้าประสบความสำเร็จในการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ คือ สร้างรถที่ให้ความสนุกสนานตื่นเต้น เหมือนผู้ขับย้อนไปเป็นเด็ก ที่เล่นรถในจินตนาการพร้อมกับร้อง บรื้นนน บรื้อนนน กัน (ฝรั่งออกเสียงเป็นซูม ซูม) และเอาตัวรอดในตลาดรถที่มีการแข่งขันกันสูง อย่างสง่าผ่าเผย

ส่วนทางด้านการตลาด ดังข่าวที่ออกมาสัปดาห์ที่แล้ว มาสด้า 3 นั้นขายดีมาก ชนิดที่ต้องเพิ่มสายพานการผลิตกันจ้าละหวั่นทีเดียว อาการผลิตไม่ทันขายนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่มาเมืองไทยช้ากว่าชาวบ้านก็เป็นได้ อย่างไรก็ดีเมื่อเขายืนยันว่ามาแน่ ผู้ตั้งตาคอยก็นับเงินรอวันยื่นให้เขาก็แล้วกัน

หากใครสนใจหาข้อมูลต่อ ก็มีรายงานการเอามาสด้า 3 ไปทดสอบ หรือข่าวสำคัญในช่วงปีที่ผ่านมา ดังข้างล่างนี้
คอนซูเมอร์ไกด์, ยูเอสนิวส์ , ดีทรอยท์ฟรีเพรส, โรดแอนด์แทร็ค

Thursday, October 07, 2004

เมอร์ซีเดสทำรถกระบะแบบเบนซ์..เบนซ์


Viano, Mercedes-Benz pickup (ภาพและข้อมูลจาก autoweek.com) Posted by Hello

คิดอย่างไรกันบ้างครับ หากได้ยินข่าวว่าเมอร์ซิเดส-เบนซ์จะผลิตปิคอัพออกขาย ปิคอัพนะครับไม่ใช่รถบรรทุกหนัก

น้อยคนที่จะคาดคิดถึงเรื่องแบบนี้ แต่เมอร์ซิเดสก็ได้ลองโยนหินถามทางในงานแสดงรถเพื่อการพาณิชย์ที่เมืองแฮโนเวอร์ ประเทศเยอรมัน ในนามของรถต้นแบบวีอาโน ซึ่งเป็นลูกผสมของรถตู้แวนและรถปิคอัพดังในภาพ โดยกะว่าจะเอาไปเจาะตลาดทวีปอเมริกาเหนือ ดินแดนที่คลั่งไคล้รถกระบะยิ่งกว่าใครอื่น

ดู ๆ ไปแล้วเจ้าวีอาโนก็เป็นรถตู้ตั้งแต่เสาตัวซีย้อนไปข้างหน้า แต่ไอเดียที่เด็ดคือมีตัวกระบะที่เป็นเหมือนลิ้นชักซ้อนอยู่ ซึ่งเมื่อดึงออกมาก็ทำให้รถยืดจาก 196.5 นิ้วเป็น 227 นิ้วในพริบตา ยาวกว่าเจ้าฟอร์ดเอฟ 150 เชียวนะนี่พูดเป็นเล่นไป

ทว่าในสายตาอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ดูภาพรวมแล้วเจ้าวีอาโนนี่ก็ไม่ค่อยจะต่างจากโฟล์กสวาเก้นปิคอัพ ตัวที่หน้าเป็นตู้แวนโฟล์กแต่หลังเป็นกระบะในยุคก่อนโน้นสักเท่าไร

และไม่รู้ว่าเมอร์ซีเดส มีดวงตาทำนายอนาคตที่ดีกว่าใครอื่นหรืออย่างไร เพราะเท่าที่เห็นรถกระบะหรูอย่างลินคอล์นแบล็ควู้ด หรือรถกระบะหน่อมแน้มสไตล์เก๋งผสมกระบะอย่างซูบารุบาฮา (เหมือนเอ็นวีบ้านเรา) หรือแม้แต่เอสยูวีผสมกระบะอย่างฟอร์ดเอ็กซ์พลอเรอร์สปอร์ตแทร็ค ก็ไม่เห็นจะรุ่งสักเท่าไร

แต่งานนี้ถ้าเมอร์ซิเดสดันบ้าจี้ทำขึ้นมาจริง ๆ ผมว่าก็คงมีคนแถว ๆ นี้บ้าจี้สั่งมาบ้างเหมือนกันละมั้ง เพราะไทยเราก็เป็นเบอร์สองในโลกเรื่องความชื่นชอบรถกระบะ และที่สำคัญในบ้านเมืองนี้มีคนเห็นรถตราดาวสามแฉกเป็นยิ่งกว่าวัตถุเคลื่อนย้ายคนที่เรียกว่ารถ อยู่ไม่น้อย

แท็กซี่ซวย หรือว่าคนอ้วนโชคร้าย


Mararika Parker (ภาพและข้อมูลจาก theindychannel.com) Posted by Hello

ในแดนที่ทนายความร่ำรวยกว่าเกือบจะทุกอาชีพอย่างอเมริกา แทบทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องขี้ผง หรือเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง ก็ขึ้นโรงขึ้นศาลได้ทั้งนั้น

อย่างที่อินเดียนาโปลิส คุณผู้หญิงนางหนึ่งที่มีน้ำหนักตัว 650 ปอนด์ (หรือ 295 กิโลกรัม) ได้ปลื้มปิติ เมื่อศาลสั่งลงโทษแท็กซี่นายหนึ่งที่ไม่ยอมรับเธอขึ้นรถ ด้วยเหตุผลว่าเธอหนักเกินไป

นายอับดุลลาฮี อีกัล แท็กซี่ผู้ปฏิเสธการรับนางมาราริกา พาร์คเกอร์ขึ้นรถเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ โดนพักใบอนุญาตขับแท็กซี่ไป 6 เดือน หลังจากศาลยกเรื่องขึ้นพิจารณาเมื่อเดือนที่แล้ว

เหตุผลที่นายอีกัลไม่รับนางพาร์คเกอร์ขึ้นรถคือ เกรงว่าจะไม่ปลอดภัยทั้งต่อตัวเขาและตัวเธอ แต่นางพาร์คเกอร์ก็มีวีดีโอของสถานีโทรทัศน์ช่อง RTV6 ในเดือนพฤษภาคม แสดงให้เห็นว่าเธอสามารถนั่งรถแท็กซี่ฟอร์ดทอรัส (ขนาดเดียวกับแคมรี/แอคคอร์ด) ได้สบาย ๆ ซึ่งแท็กซี่คันนี้เล็กกว่ารถแท็กซี่คราวน์วิคตอเรีย (ประมาณโตโยต้าคราวน์) ของนายอีกัลเสียอีก

ในตอนท้ายแม้ศาลจะสั่งพักใบอนุญาตแท็กซี่ก็แล้ว แต่คุณเธอบอกว่ายังไม่พอแค่นี้ เพราะกำลังวางแผนที่ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งอีกคดี

เอ้า เอากับคุณเธอเข้าสิ

เอางี้ ผมว่าให้คุณพาร์คเกอร์มาลองโบกแท็กซี่กรุงเทพฯ ดูสักตั้ง แล้วดูว่าเธอจะได้นั่งเบาะไหน

Wednesday, October 06, 2004

มาสด้าอาร์เอ็กซ์ 8 คันที่ 100,000


Mazda RX 8 (ภาพจาก triplezoom.com เรื่องจาก yahoo business)Posted by Hello

มาสด้าอาร์เอ็กซ์ 8 คันที่ 100,000 คลอดออกมาหลังคันแรก ในเวลาเพียง 18 เดือน

มาสด้ามอเตอร์คอร์ป ประกาศเมื่อวานนี้ (5 ต.ค.) ว่าสายการผลิตมาสด้าอาร์เอ็กซ์ 8 ที่อูจิมา ในเมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น ได้ผลิตมาสด้าอาร์เอ็กซ์ 8 รถสปอร์ตที่ฟื้นคืนชีพเครื่องโรตารีคืนมาอีกครั้ง คันที่ 100,000 ออกมาแล้ว หลังจากเปิดสายการผลิตคันแรกเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2003

โรเบิร์ต ที เดวิส รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของมาสด้าอเมริกาเหนือ ได้ทีก็รีบคุยฟุ้งว่า "มาสด้านั้นกล้าเสมอที่จะทำในสิ่งที่ผู้อื่นแหยง คือ การผลิตรถสปอร์ตสี่ที่นั่งสี่ประตู ... การที่รถของเราขายดีเช่นนี้ พิสูจน์ได้ว่าถ้าเราเลือกที่จะผลิต ก็จะมีผู้ตามซื้อ"

สถิติการผลิตรถสปอร์ตหนึ่งแสนคันใน 18 เดือนนี้ เปรียบได้ใกล้เคียงกับการผลิตโรดสเตอร์อีกคันหนึ่งของค่ายซูม ๆ ที่กินเนสส์บุ้คต้องบันทึกว่าเป็นรถเปิดประทุนที่ขายดีที่สุดในโลก คือ มาสด้าเอ็มเอ็กซ์ 5 หรือเจ้ามิอาตะที่ทะลุ 100,000 คันด้วยเวลาเพียง 17 เดือนเท่านั้น

จุดเด่นสำคัญของมาสด้าอาร์เอ็กซ์ 8 นอกจากเรือนร่างที่ดึงดูดสายตาแล้ว ก็คือ เครื่องโรตารี RENESIS นั่นเอง โดยที่ผ่านมาเจ้าอาร์เอ็กซ์ 8 และเครื่องคู่ใจ กวาดรางวัลไปแล้วกว่า 37 รางวัลใหญ่ ๆ ทั่วโลก

เอ้าใครที่มีกระเป๋าตุง ไม่กลัวเจ้าเครื่องโรตารีจอมซด นี่ก็เชิญถอยคันที่แสนกว่าออกมาโชว์หน่อย

ออดี้ทีทีใหม่ จะมาในงานเจนีวาออโต้โชว์ปี 2006


New Audi TT (ภาพและข้อมูลจาก germancarfans.com) Posted by Hello

อย่างที่ทุกคนรู้กัน ออดี้ทีทีตัวแรกที่เปิดตัวมาเมื่อหลายปีก่อนนั้น คือ หนึ่งในรถที่มีความหมายอย่างยิ่งยวด เพราะเส้นสายที่ฟรีแมน โทมัส บรรจงลากลายปากกาไว้ ได้กลายเป็นสิ่งที่สร้างเอกลักษณ์ของรถในเครือออดี้-โฟลกสวาเก้นรุ่นถัด ๆ มาโดยปริยาย ไม่ว่าจะเป็นในบีเทิลใหม่ พัสสาท หรือรถในตราสโกดา ตราเซียท ลามปามไปถึงรถนิสสัน และรถญี่ปุ่นอีกหลายคันทีเดียว

นอกจากนั้นในแง่ของศิลปะ ออดี้ทีทีถือว่าเป็นรถที่ออกแบบได้เป็นตัวของตัวเอง งดงาม และลงตัวอย่างที่สุด สอดคล้องกันหมดทั้งภายในและภายนอก

ทว่าในตอนแรกลงเครื่องเล็กไปหน่อย ทำให้ขาซิ่งบ่น แต่ทุกคนต่างเห็นตรงกันว่า ออดี้ทีทีที่มีระบบช่วงล่างขับสี่แบบควอตโตรนั้นขับสนุก

และแม้ออดี้รุ่นแรกจะมีอายุตลาดพอควรแล้ว แต่เชื่อว่าแทบทุกคนต้องเหลียวหลังดูปฏิมากรรมเคลื่อนย้ายคนคันนี้ทุกครั้งที่ออดี้ทีทีวิ่งผ่าน

เวลาคล้อยไป ออดี้ได้ฤกษ์ออกทีทีตัวใหม่ ซึ่งจะแสดงตัวที่เจนีวาออโตโชว์ในเดือนมีนาคม ปี 2006 โดยยังคงเค้าเดิมอยู่ เพียงแต่ไฟหน้า ไฟหลังจะถอดมาจากรถต้นแบบเลอมังส์ พร้อมกับกระจังหน้าแบบออดี้ใหม่ (ที่เริ่มจะลามไปถึงรถยี่ห้ออื่นบ้างแล้ว เช่น ฟอร์ด หรืออีซูสุ)

โดยทีทีใหม่นี้จะขี่อยู่บนเพลทฟอร์ม PQ35 ตัวเดียวกับรถในเครืออย่าง สโกดาออกตาเวีย ซีทอัลเทีย ออดี้เอ 3 และโฟล์กกอล์ฟไฟว์

และเป็นเรื่องปรกติที่รถใหม่จะต้องขยายฐานล้อทั้งด้านกว้าง และยาว เพื่อการขับขี่และควบคุมที่ดีกว่าเดิม

ส่วนเครื่องเคราคราวนี้ไม่อั้นไว้อย่างรุ่นแรก มีทั้งสี่สูบ 2.0 ลิตร 150 แรงม้า และหกสูบ 3.2 ลิตร 255 แรงม้า นอกจากนั้นยังเตรียมเวอร์ชัน 350 แรงม้าไว้เพื่อรับมือกับ AMG ด้วย

และสำหรับรถคูป เครื่องแรง ๆ อย่างนี้ ย่อมต้องใส่เกียร์แมนวล 6 สปีดมาให้คนขับโยกเอง หรือว่าหากขี้เกียจนักก็มีเกียร์อัตโนมัติ DSG ให้เลือกตามใจชอบ

ซูบารุ รถของคนนอกกระแส


Subaru World Rally Team (ภาพและข้อมูลบางส่วนจาก subdriven.com เวบที่สาวกซับต้องชอบใจ) Posted by Hello

ในบางแห่งหน บางตำบล บนโลกใบนี้นั้น ดัชนีความสูงจากระดับน้ำทะเลของสถานที่ อาจวัดได้จากจำนวนรถซูบารุบนลานจอดรถของซูเปอร์มาร์เก็ตประจำเมือง

หากมีโอกาส ลองไปเยี่ยมยามพิสูจน์ดูแถวเทือกเขาร็อกกี้ ไม่ว่าจะเป็นแถบโคโลราโด หรือมอนทานากันได้

ยิ่งสูง ยิ่งหนาว และยิ่งสูงหมายถึงการมีหิมะปกคลุมเกือบตลอดปี ทำให้ถนนหนทางไม่เอื้ออาทรต่อรถรา แต่สำหรับซูบารุยิ่งสูง กลายเป็นยิ่งชอบ

และในบรรดาคนภูเขา ซูบารุคือม้าเบนซินวิ่งสี่ตีนที่ไว้ใจได้ เพราะมั่นใจว่าควบม้าตัวนี้แล้วจะกลับมายังบ้านอันอบอุ่น อย่างสบายใจ

นั่นเป็นอีกซีกหนึ่งของซูบารุ ที่ผู้คนรับรถของค่ายดาวทองบนพื้นวงรีสีน้ำเงินนี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ตั้งแต่สมัยที่คำว่าเอสยูวีไม่อยู่ในพจนานุกรมใด ๆ

ส่วนอีกซีกหนึ่ง ในบรรดาคอรถ ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าซูบารุเป็นรถของขาซิ่ง และขาลุย

ไม่ว่าจะเป็นการซิ่งหรือลุยในแบบของ WRC การแข่งแรลลี่ที่คู่แข่งใจเหี่ยวเมื่อเห็นรถสีน้ำเงินเข้มประด้วยแถบสีทองเข้าเส้นสตาร์ท เพราะซูบารุเอาชนะคู่แข่งบ่อยครั้ง บ่อยจนกลายเป็นเรื่องขาดรสชาติ

หรือว่าจะเป็นการซิ่งหรือลุยแบบพอล โฮแกน เจ้าหนุ่มจากดาวน์อันเดอร์ที่เลื่องชื่อจากหนังเรื่องครอคโคไดล์ดันดี ผู้พาภาพลักษณ์คนผู้นิยมธรรมชาติแต่งกากีอย่างเรนเจอร์ แล้วบุกป่าฝ่าดงกับรถซูบารุเอาท์แบ็คคู่ใจเพื่อแสวงหาจุดหมายของชีวิต ให้เห็นกันบนจอทีวี

หรือว่าจะเป็นการซิ่งหรือลุยในกลางดึกท่ามกลางเมืองใหญ่ ของบรรดานักแต่งรถซิ่งวัยรุ่นผู้ชมชอบความตื่นเต้นจากความเร็วทั้งหลาย

ซูบารุมักจะมีที่ทางกับคนนอกกระแสเหล่านี้เสมอ

ซูบารุมีดีที่ฝีตีน อันผสมผสานจากระบบช่วงล่างและระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ กับเครื่องบ็อกเซอร์อันแรงจัด โดยวางลูกสูบให้ขยับดั่งนักมวยออกหมัด บวกกับความทนทาน ไม่จุกจิก ทำให้มีสาวกติดตามใช้อย่างเหนียวแน่น

ในยุคของเอสยูวีครองโลกในห้าหกปีที่ผ่านมา มีผลกระทบต่อความอยู่รอดของของซูบารูพอสมควร เพราะมีคู่แข่งเสนอตัวเข้ามาให้คนเลือกมากมายนับไม่ถ้วน

ทว่าซูบารุก็รีบอุดจุดอ่อนของตัวเองเรื่องเครื่องเล็ก ด้วยการออกเครื่องหกสูบ 3 ลิตรออกมา

ส่วนเรื่องอื่น ๆ ซูบารุไม่เห็นว่าเป็นข้อด้อย เพราะเห็นว่าที่ผู้คนเห่อเอสยูวีนั้นเป็นเพียงแฟชั่นชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น อีกไม่นานก็จะกลับมาหาของจริง และก็เป็นดังว่า เพราะในไม่ช้าไม่นานบรรดานักขับผู้อยากเท่ อยากลอง ได้เรียนรู้ว่าการขับเอสยูวีขับสี่ คันใหญ่ ๆ คันโย่ง ๆ ซดน้ำมันหนัก ๆ นั้นมันช่างอืดอาด ไม่คล่องตัวเสียนี่กระไร และก็เริ่มหันหาทางเลือกใหม่ในแบบครอสโอเวอร์กันมากขึ้น ซึ่งก็เข้าทางซูบารุพอดี

นอกจากนั้น ได้มีผู้เก็บสถิติว่าบรรดารถเอสยูวีขับสี่นั้น ส่วนใหญ่แทบจะไม่เคยได้ใช้นอกถนนดำ (offroad) กันเลย ขับไปทำงาน ขับไปจ่ายตลาด ขับไปรับลูก เอาเท่กันเท่านั้น

แต่ขาลุยจริงกลับใช้รถสเตชันเวกอนอย่าง ซูบารุเอาท์แบ็ค หรือวอลโวครอสคันทรีเสียนี่ โดยดูได้ในตอนบ่ายวันอาทิตย์ จากรถที่เลอะโคลน มีจักรยาน หรือไม่ก็เรือแคนู หรืออุปกรณ์แคมป์ปิ้งบนแร็คหลังคา พร้อมกับหน้าเปื้อนยิ้มของเจ้าของนั่นไง

คนนอกกระแสเหล่านี้เองที่เป็นผู้ช่วยสร้าง ช่วยประกันภาพลักษณ์ของซูบารุ และทำให้ซูบารุอยู่รอดต่อไป

ในปี ค.ศ. นี้ ซูบารุก็ไม่ทำให้สาวกต้องผิดหวัง เพราะมีรถตัวเก่งออกมาให้เลือกสารพัดรุ่น และที่ subdriven.com เลือกมาแนะนำนี้คือ ซูบารุเอาท์แบ็ค 3.0 อาร์ ฉบับที่ตกแต่งโดยแอลแอลบีน สำนักขายเสื้อผ้าและอุปกรณ์ชีวิตกลางแจ้งของเมืองมะกันเขา ซึ่งเมื่อเห็นแล้วเชื่อว่าทุกคนต้องร้อง "มันน่าใช้ดีจัง !!"

ส่วนบ้านเรา ราคาซูบารุไม่ได้ใกล้เคียงกับแคมรี หรือแอคคอร์ดอย่างบ้านเขา คนที่มีวาสนาใช้ก็ต้องกระเป๋าตุงหน่อย

และไม่ว่าที่ไหน เมื่อเห็นผู้ใช้ซูบารุ ก็มักจะบอกใบ้ได้ว่า ผู้ที่นั่งหลังพวงมาลัยเจ้าซับเป็นคนใช้รถอย่างมีสไตล์ และมีเปอร์เซนต์สูงที่เขาจะเป็นคนนอกกระแส

Tuesday, October 05, 2004

กระบะที่ดีที่สุดในเวลานี้ พะยี่ห้อนิสสัน


2004 Nissan Titan (ภาพและข้อมูลบางส่วนจาก edmunds.com)

ในตลาดรถกระบะเบอร์แอล (full-size truck) ค่ายญี่ปุ่นไม่เคยต่อกรกับยักษ์ใหญ่ทั้งสามของอเมริกัน คือ ฟอร์ดเอฟจากฟอร์ด เชฟวีซิลเวอราโดจากจีเอ็ม และดอด์จแรมจากไครสเลอร์ อย่างจริงจังมาก่อน

แต่อย่างที่รู้กัน เมืองมะกันเป็นแหล่งขายรถที่ใหญ่มาก ๆ และรถกระบะเต็มขนาดก็ขายดีมาก ๆ อย่างเช่น ในปีนี้ 2004 ปีเดียว ประมาณได้ว่าค่ายฟอร์ดจะขายกระบะอนุกรมเอฟอนุกรมเดียวได้เฉียดล้านคัน

เหตุผลสำคัญ คือ คนอเมริกันไม่นิยมใช้ตีนเดินเนื่องจากบ้านเมืองกว้างใหญ่ ลมฟ้าอากาศไม่เอื้ออำนวย แถมการขนส่งมวลชนไม่ทั่วถึงเพราะกระจุกเฉพาะในเมืองใหญ่เท่านั้น ในเมืองรอบนอกอย่าได้หวังว่าจะมีสองแถวให้โบกอย่างบ้านเรา

และคนอเมริกันเปลี่ยนรถไวเพราะเงินหาไม่ยาก

ดังนั้นคนอเมริกันกว่าสองร้อยล้านคนจึงพร้อมจะควักกระเป๋าซื้อวัตถุเคลื่อนย้ายคนที่เรียกว่ารถได้ทุกเมื่อ จึงทำให้ค่ายรถยนต์ทั่วโลกจ้องที่จะขอมีส่วนแบ่ง เพื่อขายวัตถุแทนตีนกันอย่างตาเป็นมัน

เมื่อกลางทศวรรษที่แล้วค่ายโตโยต้า ได้ส่งทันดราอันเป็นกระบะนอกเชื้อชาติรายแรก มุ่งเข้าท้าชิงกับยักษ์กระบะทั้งสาม แต่ทันดรานั้นเป็นมวยร่างเล็ก คือ อยู่ตรงกลางระหว่างไซส์เอ็มกับไซส์แอล จึงไม่ได้ทำให้ยักษ์ทั้งสามกระเทือนนัก ถึงกระนั้นปีหนึ่ง ๆ ก็ขายได้หลายแสนคัน

มาถึงสามสี่ปีที่ผ่านมานี้ จึงเห็นคู่ชกที่สมน้ำสมเนื้อ โดยค่ายนิสสันซึ่งมีเจ้านายใหญ่ใจถึง ได้ตั้งโปรเจคผลิตกระบะ เข้าเจาะขายที่ตรงกล่องดวงใจของอเมริกันชนเสียเลย

และมาคราวนี้นิสสันตอบโจทย์มาอย่างสมบูรณ์ คนมะกันต้องการกระบะร่างใหญ่ นิสสันใหญ่จริง คนมะกันต้องการกระบะแรงจัด นิสสันแรงจริง คนอเมริกันต้องการรถกระบะสวย นิสสันสวยอย่างลงตัว คนอเมริกันต้องการกระบะที่ขับใกล้เคียงเก๋ง นิสสันทำให้ คนอเมริกันต้องการรถดีแต่ถูก นิสสันทำกระบะดีกว่าชาวบ้านแต่ขายถูกกว่าจริง และแทบจะทุกแง่ทุกมุมนิสสันทำเหนือกว่าใคร

เมื่อเป็นเช่นนั้น นิสสันไททันก็เลยเป็นรถกระบะสุดฮอตในแดนคาวบอยไปทันที

ฮอตไม่เพียงแต่ยอดขาย แต่ในหน้านิตยสารรถหลายสำนัก ก็ถูกยกย่องให้เป็นสุดยอดรถกระบะที่ไร้เทียมทาน อย่างedmunds.com ก็เลือกไททันให้เป็น Editors' Most Wanted Vehicles for 2004 และเมื่อจับทดสอบเปรียบเทียบกับ ฟอร์ดเอฟซีรีส์ ดอด์จแรม เชฟวีโคโลราโด และโตโยต้าทันดรา นิสสันไททันก็ชนะขาดแบบไร้ข้อกังขา

ครับ ถ้าเป็นเรา ๆ ท่าน ๆ จะผูกใจกับเจ้าไททันไหม

อันดับแรก เรื่องหน้าตา ในสายตาผมนิสสันไททันออกแบบได้เยี่ยม คือ เป็นตัวของตัวเองมีความสวย มีมาดดุ มีคมแกร่ง ทุกอย่างลงตัว

อย่างที่สอง นิสสันไม่คณณากับสิ่งที่อยู่ใต้กระโปรง คือ บรรจุเครื่องแปดสูบ 5.6 ลิตร ที่มีฝีตีน 305 แรงม้า และแรงฉุด 379 ปอนด์-ฟุต โดยแรงมาเกือบเต็มตั้งแต่ 2,500 รอบ ไม่ว่าจะวัดความเร็วกับใคร หรือไปแข่งลากเรือลำไหน ในบรรดารถเบอร์แอลมาตรฐาน นิสสันกินเรียบ (ฟังไว้ฮอนด้า อย่าได้คิดยัดเครื่องหกสูบลง SUT เป็นเด็ดขาด หากคิดจะมาเป็นมากกว่าไม้ประดับ)

อย่างที่สาม นิสสันมีแบบคิงแค็บที่เปิดแบบประตูตู้กับข้าว และมีแบบสี่ประตู จะเป็นขับสองหรือขับสี่ก็มีให้เลือกพร้อมพรัก

หรือหากสนใจความสะดวกสบาย ภายในไททันก็กว้างขวางชนิดที่ยัดฝรั่งเข้าไปได้หกคนแบบไม่อึดอัด พร้อมลูกเล่นบริเวณบริเวณคอนโซล ช่องเก็บของสารพัด หรือแม้แต่ไฟส่องสว่าง และปลั๊ก 12 โวลท์ที่กระบะหลังไว้ยามเปิดกระบะกินเหล้า ย่างเนื้อ ปาร์ตี้กับเพื่อน ๆ ก่อนเข้าดูกีฬา นิสสันก็มีให้ เรียกว่าคิดมาครบถ้วน

งานนี้นิสสันได้ทั้งชื่อ ได้ทั้งกล่อง และได้ทั้งเงินไปเต็ม ๆ ทำให้ฝันร้ายเรื่องจะกอดคอกับเรโนลต์จมน้ำตายไปด้วยกันเมื่อหลายปีก่อน ที่ตามหลอกหลอนก็หมดไป

ส่วนบรรดาค่ายอเมริกันทั้งสาม ไม่เพียงที่จะต้องมาแก้เกมกับเจ้าไททันเท่านั้น เพราะนี่เป็นเพียงคลื่นรถกระบะเบอร์แอลระลอกแรกจากแดนปลาดิบ ส่วนคลื่นลูกที่สองนั้นอยู่ที่ตรงขอบฟ้า เห็นอยู่ไว ๆ และจะตามมาในไม่ช้าในชื่อของโตโยต้าทันดราใหม่ ซึ่งเชื่อว่าจะมาเกทับทุกเจ้าที่มีอยู่ให้จับไข้ในทำนองเดียวกัน

เมื่อเป็นแบบนี้ ฟอร์ด จีเอ็ม และไครสเลอร์ ก็คงต้องเร่งเครื่องฮีตเตอร์กันใหญ่ เพราะว่าตลาดกระบะอเมริกันปีนี้ และปีต่อ ๆ ไป มันช่างหนาวเสียดกระดูกเสียจริง ๆ

Monday, October 04, 2004

รถนั่งที่ดีที่สุดของฮอนด้า 2005 อะคูราอาร์แอล


2005 Acura RL (ภาพและข้อมูลบางส่วนจาก นิตยสารโรดแอนด์แทรค ,นิตยสารคาร์แอนด์ไดเวอร์ )

ในบรรดารถแบรนด์หรูจากญี่ปุ่นนั้น อะคูราจากค่ายฮอนด้า เป็นยี่ห้อหนึ่งที่ผมแอบลุ้นเงียบ ๆ มานาน ลุ้นว่าเมื่อใดจะมีไม้เด็ดมาล้มรถหรูค่ายอื่นบ้าง

ไม่ต้องพูดถึงการเทียบชั้นเมอร์ซีเดส หรือบีเอ็มดับเบิลยู แค่เอาเล็กซัสจากค่ายโตโยต้าให้อยู่ ก็หรูเต็มทีแล้ว เพราะที่ผ่าน ๆ มาหลายสำนักยังจัดให้อะคูราเป็นแค่รถ "เกือบหรู" เท่านั้น

หลังจากรอมานานแสนนานจนหลาย ๆ คนเลิกเอ่ยถึง รถเบอร์หนึ่งของอะคูร่าก็ได้ฤกษ์ถูกปรับโฉมหมดจดเสียที หากเปิดนิตยสารฝรั่งประจำเดือนตุลาคม 2004 นี้ แทบทุกเล่มก็จะมีเรื่องของอะคูราอาร์แอลเต็มไปหมด

อาร์แอลมาคราวนี้จุดที่เด่นที่สุดคือระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ พร้อมกับระบบ "Super Handling" ไว้กระจายกำลังไปยังล้อที่จำเป็น ทั้งหากเลี้ยวโค้งก็มีการเพิ่มความเร็วของล้อด้านนอกเพื่อความนิ่งหนึบด้วย จุดเด่นอีกอย่างคือ การนำอะลูมิเนียมมาเป็นองค์ประกอบหลายตำแหน่งทีเดียว เพื่อคุมน้ำหนักตัวและรักษาสมดุล

และก็หมดเท่านั้นครับเรื่องน่าตื่นเต้นที่จะให้กองเชียร์ได้ใจชื้น

หันมาดูหน้าตากันบ้าง เจ้าอาร์แอลยังใช้สไตล์จืดชืดตามแบบฉบับ แม้กระจังหน้ารูปห้าเหลี่ยมที่มาสด้าแอบ "ถอด" ไปใช้จนโด่งดัง จะถูกเน้นให้ดูใหญ่สมราศี หรือแม้แต่จะยกเค้ามายบัครถแพงของค่ายเดมเล่อร์มาบ้างก็ตามที แต่ก็ยังเป็นรถที่ถูกกลืนไปในฝูงชนอยู่ต่อไป

ครับ ไม่ได้ว่าเจ้าอาร์แอลเป็นรถหน้าตาขี้เหร่ ทว่าเป็นรถประเภทสวยเรียบ ๆ ต้องเพ่งพิศนาน ๆ เหตุผลอาจจะเป็นเพราะต้องออกแบบเพื่อให้อยู่ในตลาดได้ยาวไกลไม่ตกสมัย ก็รู้ ๆ กันว่ารถระดับนี้ไม่ได้เปลี่ยนโฉมหมดจดทุกสี่ปีอย่างรถตลาดเสียเมื่อไร ลองนึกดูสิว่าคุณเริ่มได้ยินชื่อฮอนด้าลีเจ็นด์มาตั้งแต่ยุคไหน

นอกนั้นเรื่องที่กองเชียร์เห็นว่าธรรมดา ๆ ก็คือ ลูกเล่นประดับรถหรูที่ใคร ๆ ก็ต้องมีกัน เป็นต้นว่า ระบบสั่งงานด้วยเสียง ระบบตัดเสียงรบกวน ระบบเนวิเกเตอร์นำทาง ระบบเปิดรถไร้กุญแจ ไฟหน้าปรับตามการเลี้ยว

แล้วก็มาถึงเรื่องที่กองเชียร์ต้องแอบถอนหายใจ

ซึ่งสิ่งนั้นอยู่ใต้กระโปรงอาร์แอล เพราะอะคูราใหม่ตัวนี้ แม้จะวางเครื่องที่พร้อมทั้งความแรง เรียบ เนียน อันเหมาะกับความเป็นรถหรูทุกประการ แต่การที่เจ้าอาร์แอลยังใช้เครื่องหกสูบอยู่ แม้จะขยับกระบอกไปที่ 3.5 ลิตรแล้วก็ตามทีนั้นบอกใบ้ว่าอะคูราไม่ได้มาเพื่อล้มเจ้าตลาดแต่อย่างใด

เพราะเป็นที่รู้กันว่า หนึ่งในจุดอ่อนของอะคูราที่ไม่อาจเทียบชั้นกับเล็กซัสได้ก็คือ การไร้เครื่องแปดสูบนี่แหละ แม้บางอย่างจะพยายามตามรอยเล็กซัสบ้าง เช่น การหันมาเรียกรุ่นรถเป็นตัวอักษรย่อ แต่ก็เป็นการเดินตามที่ไม่ค่อยได้ผล เพราะหลายคนก็เสียดายชื่อ ลีเจนด์ หรือ อินทิกรา อยู่ไม่วาย

เปรียบไปแล้วก็เหมือน ออสการ์ เดอ ลาโฮยา เจ้านักมวยทองคำ ที่ในยุคหลัง ๆ แบกน้ำหนัก ทำน้ำหนักไปชกเกินรุ่นของตัวเองอยู่เสมอ ๆ ชกเมื่อใดประตูแพ้ก็ดูกว้างใหญ่เสียเต็มประดา

ทว่าหากพลิกตาลปัตรไปดูอีกด้านหนึ่ง

อะคูรายังมีหมัดเด็ด

หมัดหนึ่ง คือ อะคูราอาร์แอลเป็นรถที่ขับสนุก แรง หนึบ เนียน ซึ่งในบรรดาผู้ที่ทดลองขับไปแล้วต่างยกนิ้วให้กันทั้งนั้น

หมัดสอง คือ ราคาที่ประหยัดกว่าใคร ๆ ได้มากแต่จ่ายน้อยว่างั้นเถอะ ซึ่งภาพลักษณ์นี้ก็ติดกับความเป็นอะคูรามาตลอด โดยราคาคาดว่าจะอยู่ที่ $48,000

มาถึงบรรทัดนี้ หมัดหนึ่งสองของฮอนด้านั้น อาจจะทำให้การลุ้นอะคูราให้ล้มเล็กซัสของผมมีแววสมหวัง

แต่หากทบทวนอีกที เวทีนี้ไม่ใช่เวทีสมัครเล่น การที่อะคูราอาร์แอลใหม่นี้เทียบลีกได้แค่ เล็กซัสอีเอส บิมเมอร์ซีรีส์ 5 และเมอร์ซีเดสซีรีส์อีนั้น ทำให้อาการใหญ่ไม่พอ และขาดหมัดตายนี่อาจจะส่งผลให้แพ้คะแนน หรือเผลอ ๆ แพ้น็อคได้

เพราะคนที่ควักกระเป๋าซื้อรถหรู คือ คนมีสตังค์ ซึ่งรสนิยมคนมีเงินนั้นมักจะเป็นแบบ ขอให้หรูเข้าไว้เท่าไรเท่ากัน และความหรูนั้นไม่ควรมีใครข่มได้ด้วย แล้วอะคูราอาร์แอลใหม่นั้นดันมากั๊กไว้ที่หกสูบ จะไปคุยทับใครได้เล่า

ที่สำคัญการไม่ใส่อะไรสุด ๆ เพื่อเน้นขายถูกกว่าชาวบ้านนั้น ผมเห็นว่าเศรษฐีเขาถือ นั่นคือ ถ้าจะขายคนมีสตังค์จริง ความแพงต้องไม่ยั้ง หากรถธงของอะคูรายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ภาพลักษณ์ของคนขับอะคูราก็จะยังเป็น รถของคน "รวยแต่เขียม" ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่มีใครเอามาอวดกัน

เฮ้อ การที่ผมจะสมหวังกับการลุ้นอะคูรานั้นเห็นทีจะต้องให้คนมีเงินเขาเปลี่ยนรสนิยมก่อนเสียละมั้ง

Sunday, October 03, 2004

เกิดอะไรขึ้นกับเชฟวีโคโลราโดในแดนคาวบอย


2004 Chevrolet Colorado (ภาพและข้อมูลจาก pickuptruck.com) Posted by Hello

เกิดอะไรขึ้นกับเชฟวีโคโลราโด หรือแฝดจีเอ็มซีแคนยอนในแดนคาวบอย

เพราะหลังจากเปลี่ยนโฉมไปเกือบปีแล้ว ยอดขายของโคโลราโดตั้งแต่มกราคม-สิงหาคมปี 2004 นั้นตกอยู่แค่เจ็ดหมื่นกว่าคัน ขณะที่เมื่อปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกัน เชฟวีเอส 10 ตัวเก่าที่ถูกโคโลราโดสวมแทนนั้นมียอดขายถึงแสนกว่าคัน

ไมค์ ไวดแมน หัวใหญ่ของโคโลราโคที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง บอกนักข่าวว่ายังไม่มีอะไรน่าตกใจ เนื่องจากคนอื่นก็มียอดตกลง

ทว่าจริง ๆ แล้ว คนอื่นที่ว่านั้นมีเพียงยี่ห้อเดียวที่ตกด้วยก็คือฟอร์ด ส่วนกระบะดอจ์ด นิสสัน และโตโยต้านั้นเสมอตัวหรือไม่ก็เป็นขาขึ้น

เหตุผลหลักที่เพลี่ยงพล้ำของเชฟวี จากการให้สัมภาษณ์ pickuptruck.com ของไมค์คือ พลาดไปเพราะไม่ได้เน้นกระบะสี่ประตู และตัวขับสี่ ดังนั้นต่อแต่นี้จะเร่งเอาคืนในรุ่นเหล่านี้แน่ แต่ที่ไมค์ไม่เห็นว่าเป็นข้อด้อยคือ การที่โคโลราโดมีกำลังลากน้อยกว่าคนอื่น หรือการที่เครื่องตัวใหญ่สุดของโคโลราโดมีแค่ 5 สูบแทนที่จะเป็น 6 สูบอย่างเจ้าอื่น

ส่วนโคโลราโดครูซ รถแต่งตัวสีฟ้ากระจังหน้าห้อยต่ำเครื่อง 8 สูบ ที่มีหลาย ๆ คนเอามาพูดกันว่าจะเป็นโคโลราโดตัวแรงสูงอย่างเจ้าเชฟวีเอสเอสอาร์ เพื่อมาลุยกับฟอร์ดไลท์นิง หรือดอจ์ดแรมเอสอาร์ทีเท็นนั้น เจ้านายของเชฟวีบอกว่าไม่ใช่แน่ เป็นแค่ของทำกันเล่น ๆ ในยามว่างเท่านั้นเอง

ครับ เชฟวีโคโลราโดจะไปได้ดีแค่ไหนก็ลองตามดู เพราะดูรายการอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น Z71/LS ตัวลุยยกสูงที่มีอยู่ในตัวที่ขายเมืองมะกัน ไม่ว่าจะเป็น แอร์แบ็คด้านข้าง ล็อก-กระจกหน้าต่าง-กระจกข้างอัตโนมัติ แทร็คชันคอนโทรล (ตัวกันล้อลื่น) เอบีเอส (ตัวกันล้อล็อคตอนเบรค) กันโขมยพร้อมอิมโมบิไลเซอร์ เครื่องเล่นซีดีพร้อมลำโพง 6 ตัว ก็ถือว่าเชฟวีให้ไม่น้อยกว่าใคร