Thursday, November 11, 2004

ฮอนด้าลีเจนด์ คือ รถยอดเยี่ยมแห่งปี 2004-2005


New Honda Legend รถที่หรูที่สุดและดีที่สุดจากฮอนด้า (ที่มา honda.com)

ในวันนี้ (11 พ.ย.) ฮอนด้าลีเจนด์ใหม่ถูกประกาศให้เป็นรถยอดเยี่ยมประจำปี 2004-2005 แห่งประเทศญี่ปุ่น พร้อมกับรางวัลเทคโนโลยีก้าวหน้าสุดยอดอีกใบ

ลีเจนด์รุ่นที่ 4 นี้เป็นรถหรูเต็มขั้นรุ่นใหญ่ที่สุดจากฮอนด้า โดยมีจุดเด่นคือ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อชนิด Super Handling All-Wheel Drive system (SH-AWD) และเครื่องยนต์หกสูบ 300 แรงม้า พร้อมกับลูกเล่นไฮเทคอีกสารพัด

การได้รางวัลนับว่าเป็นข่าวดีของฮอนด้าโดยแท้ เพราะลีเจนด์ใหม่นี้คือรถที่มาเพื่อยกภาพพจน์ความหรูมาให้แก่ฮอนด้า/อะคูราเพิ่มขึ้น พร้อมกับเข้าไปอยู่ในลีกเดียวกับรถหรูหราจากค่ายญี่ปุ่นอย่างเล็กซัส และอินฟินิติอย่างเต็มภาคภูมิ

บทความที่เกี่ยวข้องกัน : ออโต้โมบิลยกนิ้วให้อะคูราอาร์แอล , รถนั่งที่ดีที่สุดของฮอนด้า 2005 อะคูราอาร์แอล

เปลือยหัวใจนิสสันยุคใหม่


Nissan Chappo Concept ต้นแบบของนิสสันคิวบ์

คุณภาพของวิศวกรรม และประสิทธิภาพการผลิต คือหัวใจความสำเร็จของรถยี่ห้อญี่ปุ่นทุกตรา และนิสสันก็เป็นหนึ่งในนั้น ทว่านิสสันยุคปัจจุบันมีจุดขายที่แตกต่างคือ การออกแบบอันโดดเด่น

เอกลักษณ์นี้แทบทุกคนต่างก็ยกนิ้วให้ ไม่ว่าจะเป็นนักข่าวที่ไปชมรถต้นแบบจากงานแสดงรถ หรือผู้ซื้อที่เห็นความไม่เหมือนใครของรถนิสสันหรือรถอินฟินิติที่จอดขายในโชว์รูม หรือแม้แต่ดีไซเนอร์และผู้บริหารของบริษัทคู่แข่ง

จุดพลิกผันนั้นเริ่มเมื่อปี 1999 ที่ คาร์ลอส โกส์น เข้ามารับงานเป็นประธานของนิสสัน และไล่หลังจากนั้นไม่นานจิโร นากามูระ ผละจากอีซูสุมาเป็นนักออกแบบมือหนึ่งให้

ห้าปีให้หลัง โกส์นถูกยกให้เป็นนักบริหารมือเยี่ยม และนากามูระได้ปั้นการออกแบบที่ทำให้นิสสันกลายเป็นผู้นำ

หากยังนึกภาพสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ชัดเจน ก็ลองหารถนิสสันยุคปัจจุบันมาเทียบดูกับนิสสันยุคก่อน เทียนากับเซฟิโรเหมือนกันตรงไหน ต่างกันตรงไหนนั่นแหละคือตัวอย่างของความเปลี่ยนแปลง

การออกแบบที่สดใหม่ไม่เพียงแค่ได้กล่อง แต่ทำเงินด้วย เพราะผู้ซื้อพากันแห่เข้าโชว์รูมนิสสัน ทำให้ยอดขายของนิสสันทั่วโลกกระโดดขึ้น 20 เปอร์เซนต์ในห้าปี โกส์นทำนายว่าปีหน้านิสสันจะขายรถได้ทั้งปี 3.6 ล้านคัน เทียบกับ 2.5 ล้านคันเมื่อปี 1999

แม้ใครต่อใครมักจะซูฮกโกส์น ที่ยกธุรกิจรถยนต์นิสสันออกจากเชิงตะกอนมาชุบชีวิตใหม่ได้สำเร็จ แต่ผู้ที่มีส่วนสร้างรถนิสสันให้โดนใจคนทั่วโลก คือ นากามูระ

นากามูระ ปัจจุบันอายุ 54 ปี เป็นชาวญี่ปุ่นแต่กำเนิด ในวัยหนุ่มได้ศึกษาวิชาการออกแบบอุตสาหกรรมจากมหาวิทยาลัยศิลปะมูซาชิโนในโตเกียว และวิชาการออกแบบยวดยานจากวิทยาลัยการออกแบบอาร์ตเซ็นเตอร์แห่งพาซาเดนา

นากามูระได้เข้าทำงานกับจีเอ็มที่เมืองดีทรอยท์ จากนั้นในปี 1974 ได้เข้าร่วมงานกับอีซูสุ ซึ่งในตอนท้ายได้เป็นนักออกแบบมือหนึ่งของที่นั่น โดยตัวอย่างฝีมือของนากามูระ คือ อีซูสุเวฮิครอส รถเอสยูวีที่ผ่านมาหลายปีหน้าตาก็ยังไม่ตกสมัย

ในการให้สัมภาษณ์ที่งานปารีส์มอเตอร์โชว์เดือนที่แล้ว นากามูระได้เผยเคล็ดลับการทำงานของเขาที่นิสสันให้โลกได้รู้ นั่นคือ การจัดระบบงานให้ระบบคณะกรรมการไม่ขวางการเติบโตของไอเดียใหม่ ๆ เขารวบสำนักออกแบบของนิสสันซึ่งกระจายอยู่ในยุโรปให้มาอยู่รวมกันที่ลอนดอน และลงมือคุมสำนักออกแบบของนิสสันอเมริกาที่ลาโฮยา ซานดิเอโก โดยตรงด้วยตนเอง

"ผมไม่ได้เปลี่ยนแปลงคนทำงาน เพียงแต่เปลี่ยนกลยุทธ์และปรับระบบเท่านั้น" เป็นคำอธิบายจากปากของนากามูระ

ปรัชญาและแนวคิดของการออกแบบของนากามูระนั้น ซ่อนอยู่ในผลงานของเขา อย่างเช่น รถต้นแบบนิสสันแชปโปที่ออกแสดงในงานเจนีวาออโตโชว์เมื่อปี 2001 ซึ่งถือว่าเป็นการประกาศอิสระภาพของนากามูระเลยทีเดียว

ตัวนากามูระเอง เรียกเจ้าแชปโปว่า "กล่องวิเศษ" ที่เกิดจากคอนเซ็ปท์การเน้นพื้นที่ว่างแทนที่จะเน้นความเร็วของรถตามสมัยนิยม นากามูระนำแนวคิดการสร้างแชปโปมาจากโรงน้ำชาของญี่ปุ่นโบราณ เสื่อกกทาทามิ และเครื่องไม้เคลือบแลคเกอร์

รถต้นแบบแชปโปนั้นเป็นผลงานที่อวดความเป็นญี่ปุ่นของนากามูระอย่างภาคภูมิ แต่ในขณะเดียวกันก็มีเสน่ห์ถูกตาต้องใจของคนทั่วโลกด้วย และนั่นเองที่สร้าง "เอกลักษณ์ที่ไร้พรมแดน" ให้แก่นิสสัน

"เราเน้นความเป็นญี่ปุ่นโดยหลักการ แต่ไม่ใช่รูปร่างเฉพาะแบบใดแบบหนึ่ง" เขาเผยเคล็ดลับ "ตัวอย่างเช่น การใช้พื้นที่แคบ ๆ อย่างฉลาด"

การนำสิ่งที่ฝังอยู่ในชนชาติญี่ปุ่นมาเป็นคุณค่าระดับโลกนั่งเองที่ทำให้นากามูระบรรลุผ่านแนวการผลิตรถแต่เดิมที่เป็นแค่หนึ่งในรถยนต์ญี่ปุ่นหรือเยอรมันธรรมดาดาด ๆ มาเป็นตัวของตัวเอง


Infiniti FX45 แฝดหรูของนิสสันมูราโน

นากามูระวางแผนกลยุทธ์ของนิสสันเพื่อขึ้นชั้นระดับโลก ทว่าส่งรุ่นรถที่เหมาะกับท้องถิ่นเข้าสู้กับคู่แข่ง เป็นต้นว่า ในยุโรปนิสสันมีไมครา-รถตากบขนาดจิ๋วน่ารัก ขณะที่ในอเมริกานิสสันส่งไททัน-รถกระบะใหญ่ แกร่ง ดุดัน

ว่ากันว่าผลงานที่ทิ้งลายมากที่สุดของนากามูระบนถนนไฮเวย์ของอเมริกา คือ นิสสันอัลติมา (นึกถึงเทียนาแต่ออกแนวสปอร์ตและวัยรุ่นกว่า) ซึ่งทรวดทรงและการออกแบบนั้นตัดกันกับรถคู่แข่งในตลาดที่สุขุมพื้น ๆ อย่างโตโยต้าแคมรีและฮอนด้าแอคคอร์ดไปคนละทางทีเดียว โดยอัลติมามีแนวรูปโฉมออกเยอรมัน ส่วนท้ายตัดโยงให้เห็นภาพของเรือเร็ว และบริเวณไฟหลังให้อารมณ์ของความซับซ้อนทางเทคโนโลยีผสมนิยายวิทยาศาสตร์

หรือจะเป็นเจ้า "ไบโอนิคชีต้าห์" อย่างนิสสันมูราโนหรือแฝดหรูอินฟินิติเอฟเอ็กซ์ ที่นิสสันออกนอกกรอบเอสยูวีด้วยเส้นโค้งหลังคาอันอ่อนช้อย ขึ้นรูปทรงปราดเปรียวอย่างสุนัขล่าสัตว์ และให้ความรู้สึกถึงพละกำลังโดยไม่จำเป็นต้องมาในร่างเทอะทะใหญ่โต

และสิ่งที่หาได้ยากจากคนระดับนี้คือ นากามูระยังพร้อมที่จะยอมรับข้อผิดพลาดของตัว เป็นต้นว่า เขารับตรง ๆ ว่าโฉมใหม่ของรถมินิแวนเควสท์นั้นอาจจะล้ำเกินไป

ทว่าที่ล้ำกว่าน่าจะเป็นนิสสันคิวบ์ที่สืบสายพันธุ์มาจากแชปโป นากามูระอธิบายความเป็นมาของคิวบ์ว่า คือความรื่นรมย์ของการเดินทางช้า ๆ และสุขใจกับทิวทัศน์ที่อยู่สองข้างถนน ในตอนแรกนากามูระคิดว่าอาการฮิตของรถแบบกล่องนี้ในญี่ปุ่นน่าจะเป็นเพราะการจราจรที่ติดขัด แต่เมื่อมองย้อนประวัติศาสตร์ไป เขากลับเห็นการเดินทางช้า ๆ ด้วยรถม้าลาก หรือเกวียนวัวลากซ่อนอยู่ในความเป็นรถกล่องเหล่านี้

นี่คือหนึ่งในหลาย ๆ ด้านของความเป็นนากามูระ อันสวนกระแสอุตสาหกรรมรถยนต์ได้อย่างน่านับถือ คือ แทนที่จะเน้นแข่งกันทำรถเร็ว ๆ แต่หันมาสร้างรถที่วิ่งช้า ๆ แต่งดงาม

และด้วยสิ่งเหล่านี้เอง ที่ทำให้นิสสันใหม่ต่างจากนิสสันเดิม และโดดเด่นต่างจากใคร ๆ

+++

บทความข้างต้นนั้น ผมถอดความมาจากบทความของฟิล แพ็ททันแห่งนิวยอร์คทามส์ ซึ่งผมขอผิดธรรมเนียม "เว็บล็อค" ที่ปรกติจะไม่ยกเรื่องต้นฉบับทั้งหมดมาเขียน แต่ก็ขอทำในเรื่องนี้ เพราะอยากให้คนรุ่นใหม่ของเราได้สัมผัส "วิธีคิด" ในแบบของนากามูระเหลือเกิน

อ่านแล้วก็ให้ได้คิดว่า ในบางที่บางเวลา แม้มีเพียงปากกากับแผ่นกระดาษ แต่หากอยู่ในมือของคนคุณภาพแม้เพียงคนเดียวก็สามารถพลิกโลกได้

ที่มา : sanmateocountytimes.com

Wednesday, November 10, 2004

เมอร์ซีเดสเบนซ์เอ็มแอล เอสยูวีโฉมใหม่


Next Mercedes-Benz ML เส้นสายคมคายขึ้น แต่ดูเผิน ๆ บางมุมมีเค้าคล้ายเชฟวีเอควินอกซ์ (คลิกที่ภาพเพื่อเข้าดูภาพเพิ่มเติมจากบทความต้นตอ)

มีผู้ไปพบเมอร์ซีเดส-เบนซ์เอสยูวี หรือ เจ้าเอ็มแอลตัวใหม่ และก็ถ่ายภาพมาฝากเรา ๆ ท่าน ๆ กัน

โดยเมอร์ซีเดส-เบนซ์เอ็มแอลตัวใหม่นี้ยังคงเค้าของเอ็มแอลรุ่นแรกที่ออกวิ่งตั้งแต่ปี 1997 ไว้เยอะทีเดียว

การออกโฉมใหม่ครั้งนี้นอกจากปรับหน้าตาให้คมคายขึ้น ทางด้านเครื่องเครา ช่วงล่าง และระบบขับเคลื่อนต่างก็ต้องยกระดับให้ทันคู่แข่งอย่าง บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์5, แลนด์โรเวอร์ ดิสคัฟเวอรีแอล/อาร์3, โฟลคสวาเกน ทูอาเร็ค และวอลโว เอ็กซ์ซี90

ในอีกปีครึ่ง เอ็มแอลใหม่รหัส W164 จึงจะวิ่งออกจากสายพานการผลิตที่รัฐอลาบามา ซึ่งต่อจากนั้นจะเป็นคิวของรถในค่ายเดมเลอร์ไครสเลอร์ตราเอ็มบีอีกคัน ก็คือ รถครอสโอเวอร์อาร์คลาส รหัส V251

การมาใหม่ในคราวนี้ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงสำคัญคือ โครงสร้างรถแบบยูนิบอดี้แทนที่จะเป็นโครงสร้างบันไดบนเฟรมอย่างรถกระบะดังแต่ก่อน ทำให้รถเบาและให้การขับขี่คล้ายรถเก๋งมากขึ้น

ส่วนที่ถูกวิจารณ์มากในคันเดิม เรื่องความประณีตของการผลิต และการออกแบบภายในที่ไม่ต่างจากรถราคาถูก ๆ ก็จะแก้ให้หรูสมฐานะ โดยยึดภายในอาร์คลาสเป็นแนวตั้งต้น

ส่วนใครที่อยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้ก็อ่านเอาใน autoweek.com นะครับ

ที่มา : autoweek.com

รถญี่ปุ่นห่วย ?





ตารางแสดงรถที่ทนทานไม่จุกจิกจำแนกตามประเภท คอลัมภ์ทางซ้ายนั้นคือ "ดีเยี่ยม" ส่วนทางขวา "ห่วยสุด" ตามความเห็นของนิตยสารคอนซูเมอร์รีพอร์ทของสหรัฐฉบับเพิ่งวางตลาด - หากต้องการดูชัด ๆ ให้คลิกเข้าไปในแต่ละภาพ ซึ่งถูกแบ่งเป็นสี่ภาพเพราะข้อจำกัดของ blog

เห็นจั่วหัวข้างต้น ตามติดกับบทความที่แล้ว (จงซื้อรถญี่ปุ่น ! หากไม่อยากเข้าโรงซ่อมบ่อย ) อาจชวนคิดได้ว่าผมกำลังเริ่มปฏิบัติการ "โปร" ญี่ปุ่น

แต่ความจริงคือเป็นเรื่องบังเอิญอย่างยิ่งที่เมื่อวันก่อนผมไปเจอการสำรวจ "reliability" หรือ ความทนทานไม่จุกจิก ของรถตลาดอังกฤษที่เสนอโดยนิตยสารวอทคาร์? และวอรันตีไดเร็กท์ มาวันนี้ก็มาพบข่าวจากหลายสำนักที่บอกเล่าถึงการจัดอันดับ "reliability" ของรถตลาดอเมริกาโดยนิตยสารคอนซูเมอร์รีพอร์ท หรือหากเรียกเป็นไทยก็คือ นิตยสารรายงานเพื่อผู้บริโภค ทำนองนั้น

ซึ่งบทสรุปของสองแหล่ง สองประเทศนี้ไปในทางเดียวกัน คือ หากอยากได้รถที่ไม่พิศมัยโรงซ่อมก็จงซื้อรถญี่ปุ่น

"วงเล่า" ไปเห็นมาอย่างไรก็เล่าไปอย่างนั้น อย่าไปคิดอะไรมาก เมื่อน่าสนใจก็นำเสนอมาให้ผู้อ่านเป็นความรู้ ว่า "คนอื่น" เขาคิดอย่างไร เขาเห็นอย่างไร จะ "โปร" ญี่ปุ่นหรือไม่นั้น ผมเชื่อว่าทางผู้ทำการสำรวจเขาคงไม่ได้ตีกรอบไว้แต่แรกหรอก เพราะเขาทำอย่างนี้กันทุกปี และผลก็ออกมาในทิศทางเดียวกันทุกปี

ถ้าให้บอกถึงความเห็นส่วนตัวซึ่งอาจจะไร้เหตุผลก็ได้ ผมคิดอย่างนี้คือ บทรายงานของอังกฤษนั้นค่อนข้างน่าเชื่อถือกว่า เพราะผู้ทำเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องรถและเกี่ยวกับการดูแลรถเสียโดยตรง ส่วนบทรายงานจากอเมริกานั้นผู้ทำเป็นผู้เชี่ยวชาญประเภทจับฉ่าย คือ ทำตัวรู้ทุกเรื่อง และเนื่องจากสินค้าในตลาดอเมริกานั้นมีหลายอย่างหลายรายการมาก เมื่อทำรายงานออกมา บางครั้งบางทีจึงเหมือนการเอาสเปคมาจัดอันดับ ไม่ได้ทดสอบจริง ๆ จัง ๆ อะไร แต่ใช่ว่าจะทำแย่ทุกเรื่องนะครับ ไม่อย่างนั้นเขาคงอยู่ไม่รอดมาจนป่านนี้ แถมขายดีเสียด้วย

เหตุที่ผมต้องฟังหูไว้หูอีกอย่าง คือ เมื่อหลายปีก่อน สมัยที่ผมเริ่มหากล้องถ่ายภาพตัวแรกในชีวิต เพื่อนฝรั่งอายุคราวพ่อก็จดชื่อ "consumer report" ให้มา ซึ่งเมื่อไปอ่านดูก็ได้คำแนะนำตามสูตรสำเร็จ คือ เชียร์แคนอนรีเบลเอ็กซ์ หรือไม่ก็มินอลต้าแมกซัมตัวที่มีฟังก์ชันเยอะ ๆ ออโต้สุดขีด ซูมได้มาก ๆ ทว่าหน้ากล้องแคบและราคาถูก ซึ่งก็คงเหมาะสำหรับคนที่ไม่เอาจริงเอาจังเรื่องการถ่ายภาพหละนะ

แต่สำหรับคนที่ไม่เชื่อใครง่าย ๆ และจ่ายยากอย่างผม การเห็นดาวจากคอนซูเมอร์รีพอร์ทนั้นไม่พอ ก็เลยไปเดินที่ชั้นหนังสือของห้องสมุด หานิตยสารเฉพาะทางเกี่ยวกับกล้องอย่าง "popular photography" หรือ "Peterson's photographic" มาอ่านย้อนหลังไปสี่ห้าปี ถึงแม้จะเป็นนิตยสารพื้น ๆ แต่ก็ทำให้ได้ถึงบางอ้อว่ากล้องตัวไหนที่เหมาะสมกับจุดประสงค์ของตัวเอง และมั่นใจในการซื้อ (ในที่สุดผมซื้อกล้องแมนวลที่ได้ดาวไม่มาก แต่สอนเรื่องถ่ายภาพทางอ้อมให้ผมได้เยอะกว่ากล้องออโตเป็นไหน ๆ แถมสองสามปีถัดมาผมขายในตลาดมือสองได้ในราคาที่สูงกว่าที่ซื้อตอนแรกเสียอีก)

อีกเหตุผลหนึ่ง คือ ตอนหลังผมได้ทราบจากผู้ที่ทำเวบเกี่ยวกับการถ่ายภาพที่โด่งดังที่สุดในอินเตอร์เน็ตว่า เคยได้รับการติดต่อจากนิตยสารทำนองนี้ เพื่อให้ทำรายงานจัดอันดับกล้องซึ่งในตลาดมีเกือบร้อยตัว ภายในเวลาไม่ถึงสองเดือน และให้สตังค์ไม่เท่าไร ก็คงบอกใบ้ได้ว่า "ข้อจำกัด" ของนิตยสารประเภคจับฉ่ายนั้นมีสูงเหลือเกิน

เพราะฉะนั้นข่าวเรื่องนี้ท่านก็กรองให้ดีก่อนเข้าสมองท่าน แต่มันก็น่าฟังกว่าคำเล่าลือลอย ๆ ไร้ข้อมูลรองรับของคนรอบข้างไม่ใช่หรือ

ผลการศึกษาของคอนซูเมอร์รีพอร์ทนั้น ในบรรดารถที่มีความทนทานไม่จุกจิกเป็นเยี่ยม 32 อันดับแรก เป็นรถญี่ปุ่นเสีย 29 โดยโตโยต้าเอาไปกินเสีย 16 รุ่น ตามด้วยฮอนด้า 7 รุ่น รวมถึงไฮบริดตัวป่วนอย่างโตโยต้าพรีอุสและฮอนด้าซีวิคไฮบริดนั่นด้วย นอกนั้นมีรถเกาหลีเข้ามาแทรก 1 คือ ฮุนไดเซนาต้า ส่วนรถอเมริกันได้มาเพียงบูอิครีกัล และปอนเตี๊ยกแกรนด์ปรีซ์

ส่วนรายการรถที่จัดว่าเปราะและจุกจิกในสายตาของมะกันนั้น ให้ท่านดูจากตารางเอาเอง หากเอามาพูดที่ตรงนี้จะแสลงใจหลาย ๆ ท่านเอา

คอนซูเมอร์รีพอร์ทนำข้อมูลนี้มาจากการศึกษาเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา โดยการทำแบบสอบถามกับเจ้าของรถกว่า 810,000 คัน ซึ่งเป็นรถรุ่นปีตั้งแต่ 1997 ถึง 2004 โดยให้คะแนนตามเกณฑ์ปัญหาของรถต่อร้อยคัน นอกจากนั้นยังเอาข้อมูลอื่นมาคิดประกอบ เป็นต้นว่า การศึกษาผลของการชนและโอกาสของการล้มกลิ้งของรถจากหน่วยงานรัฐบาล รวมทั้งรายงานการทดสอบรถที่ทำอยู่สม่ำเสมอของคอนซูเมอร์รีพอร์ทเอง

รายงานของคอนซูเมอร์รีพอร์ทนี้ถือว่าอาจชี้เป็นชี้ตายให้รถรุ่นนั้น ๆ ได้ เพราะกว่า 40 เปอร์เซนต์ของคนอเมริกันจะซื้อไปอ่านประกอบการซื้อรถ

หากว่าเป็นเมืองไทยรายงานใด ๆ ก็คงไม่เหมาะ เพราะพี่ท่านมักจะเห็นแค่ชื่อรุ่น อย่างดีก็เสปครถพร้อมรูปภาพ หรืออย่างสุด ๆ ก็ได้ลูบคลำตัวจริง ทว่าไม่ได้ลองขับ ไม่มีใครพิสูจน์ก็กระโดดไปซื้อเสียแล้ว อย่างนี้กระมังถึงไม่มีใครจัดอันดับรถให้อ่านอย่างจริง ๆ จัง ๆ

ฮะอา ผมแกล้งเหน็บไปอย่างนั้นนะครับ ที่จริงแล้วผมว่าเราน่าจะมีองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่นี้บ้าง คือ จัดอันดับรถยนต์ในแต่ละกลุ่ม และหาวิธีการยกระดับ รวมทั้งตรวจสอบมาตรฐานของรถที่ผลิตหรือจำหน่ายในประเทศกันดีไหมครับ หากหาที่ลงไม่ได้ ก็เราชาว "รัชดา - พันทิป" เริ่มต้นกันก่อนก็จะเป็นไรไป เพิ่งใครไม่ได้ก็มาเพิ่งพวกเรากันนี่แหละ

เท่ดีนะครับ เพราะทำดี ๆ สื่อก็เอาไปออกเป็น "รายงานจัดอันดับรถจากรัชดา-พันทิป" รายหกเดือน หรือรายปีก็ว่าไป คนทั้งประเทศจะได้ประโยชน์ไม่น้อยเชียว

บทความที่เกี่ยวข้อง : จงซื้อรถญี่ปุ่น ! หากไม่อยากเข้าโรงซ่อมบ่อย
ข้อมูลข่าว : money.cnn.com, detnews.com
ข้อมูลตาราง : usatoday.com

Tuesday, November 09, 2004

จงซื้อรถญี่ปุ่น ! หากไม่อยากเข้าโรงซ่อมบ่อย


ผลการสำรวจรถที่ทนทานไม่จุกจิกของนิตยสารวอทคาร์? และ วอรันตีไดเร็กท์ Posted by Hello

ท่านที่เคยผ่านหูผ่านตานิตยสารรถต่างประเทศมาบ้าง คงน่าจะเคยแปลกใจเหมือนกันผม ที่ว่า นิตยสารเหล่านั้น ทำไมถึงเชียร์รถจากค่ายเยอรมัน และญี่ปุ่นกันนัก ดูเผิน ๆ เหมือนกับว่าโดนยัดเงินให้เขียนเชียร์ แต่พอดูให้ชัดทำไมนิตยสารแทบทุกฉบับถึงออกมาในแนวเดียวกัน เขาจะเอาเงินไปหว่านได้ทุกฉบับเช่นนั้นรึ และหากเงินพูดได้ ดอลล่าร์อเมริกันหรือปอนด์อังกฤษก็น่าจะสั่งผีโม่แป้งได้เช่นกันไม่ใช่หรือ

พอคิดไปคิดมา ก็เลยสรุปเบื้องต้นว่า รถเยอรมันและญี่ปุ่นส่วนใหญ่เขาน่าจะมีดีกันจริง ๆ

โดยทางเยอรมันมักจะเด่นด้านสมรรถนะเครื่อง การขับขี่ และช่วงล่าง ส่วนทางญี่ปุ่นมักจะได้รับคำชมด้านความทนทานไม่จุกจิก และคุ้มค่าคุ้มราคา

ซึ่งสิ่งนี้ไม่ใช่เพียงการเล่าลือ หรือค่านิยมประจำถิ่นอย่างบางประเทศเท่านั้น เพราะตัวอย่างเช่น จากการสำรวจศึกษาความทนทานไม่จุกจิกของรถค่ายต่าง ๆ ของนิตยสารวอทคาร์? และวอรันตีไดเร็กท์ที่เพิ่งทำไปสด ๆ ร้อน ๆ นั้นยืนยันได้เป็นอย่างดี

โดยการสำรวจในปีนี้ถือเป็นครั้งที่สี่ ซึ่งมีรถที่เป็นตัวอย่างถึงกว่าสามหมื่นคัน โดยพิจารณาทุกปัญหาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เป็นบ่อยแค่ไหน เจ้าของต้องควักกระเป๋ากี่ตังค์ และต้องรอนานแค่ไหนจึงจะได้รถมาใช้ปรกติดังเดิม

และผลสรุปที่ได้ออกมาชัดเจน และโดดเด่น คือ หากท่านต้องการรถที่ทนไม้ทนมือ และไม่จุกจิก ให้ซื้อรถญี่ปุ่น

เพราะในห้าอันดับแรกของรถที่ไม่พิศมัยอู่ซ่อมคือ รถยี่ห้อญี่ปุ่นล้วน ๆ และแม้แต่ยี่ห้อญี่ปุ่นที่ได้คะแนนต่ำสุดคือ นิสสันนั้นยังดีกว่ารถเยอรมันทุกสำนัก

ส่วนรถที่แวะโรงซ่อมบ่อยกว่าใครเพื่อนก็เป็นรถหน้าเดิม ๆ อย่างแลนด์โรเวอร์ อัลฟาโรมิโอ และซาบ ซึ่งปีนี้มีจากัวร์เข้าไปเป็นพวกด้วย ทั้ง ๆ ที่นิตยสารอังกฤษเป็นผู้ศึกษานะนี่ ช่างไม่เข้าข้างกันเองเลย

และข้อสรุปอีกประการที่น่าสนใจคือ รถหรู ๆ อย่างบีเอ็มดับเบิลยู หรือออดี้นั้นอยู่ในกลุ่มล่างของตาราง ซึ่งพูดง่าย ๆ ว่าสู้กลุ่มรถราคาประหยัดจากเกาหลีอย่างฮุนได หรือแดวูไม่ได้

แหม น่าจะมีสำนักใดสำนักหนึ่งในบ้านเราศึกษาอย่างนี้กันบ้าง การเล่าลือโดยไร้หลักฐาน ไร้สถิติรองรับจะได้ซา ๆ ลงไปเสียที แต่นั่นหละนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นได้สาวกของหลาย ๆ เจ้าก็คงจะกร่อย เพราะสาดโคลนเข้าหากันไม่สนุก

แต่ถึงกระไร ก็อย่าได้วางใจ เพราะต่อให้มีการศึกษาที่โปร่งใสหรืออิสระเพียงใด ก็ยังมีคนที่ดำน้ำข้าง ๆ คูเถียงชาวบ้านอยู่ได้เสมอ

บทความที่เกี่ยวข้อง : รถญี่ปุ่นห่วย ?
ข้อมูล : whatcar.co.uk

แต่งกระบะโตโยต้าออกล่าสมบัติ


Toyota Tacoma Maya Hunter ในบรรยากาศงานโชว์ Posted by Hello

ในงานซีมาโชว์ที่ลาสเวกัสที่เพิ่งผ่านไปหมาด ๆ รถที่ออกโชว์ส่วนใหญ่มักจะออกแนวแต่งงาม แต่งสวย แต่งหรู และแต่งแรง ซึ่งบรรดาวัตถุเคลื่อนย้ายคนเหล่านั้นน้อยนักที่จะ "ติดดิน" อย่างโตโยต้าทาโคมาเวอร์ชันนี้

กลุ่มนักโบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์ ที่มีโครงการขุดค้นศึกษาอดีตของอารยธรรมมายาอันรุ่งเรืองสมัย 500 ปีก่อนคริสต์ศักราช หรือในสมัยเดียวกันกับพระพุทธเจ้านั้น จะได้รับรถ "นักล่ามายา" ที่นิตยสารออฟโรดเอดเวนเจอร์เป็นผู้ตกแต่งและโตโยต้ายกให้ไปใช้ฟรี ๆ ไม่เพียงเท่านั้นยังพ่วงลูกสมุนให้ไปด้วยกันสองคันคือ ยามาฮ่าไรโน 660 รถคาร์ทออฟโรดซึ่งจะถูกลากตามหลังทาโคมาเข้าไปลุยป่าพร้อม ๆ กัน


Toyota Tacoma Maya Hunter ในบรรยากาศป่า ๆ อันสมตัว Posted by Hello

โดยโตโยต้าเวอร์ชัน "นักล่ามายา" นั้นคือ ทาโคมาสี่ประตูที่ถูกติดตั้งชุดยกขนาด 3 นิ้วจากสกายแจ็คเกอร์และสกายคิง, ล้อลุยโคลนอินเทอร์โกสวอมเปอร์บ็อคเกอร์, เฟืองหลังใหม่ที่ทดให้ลุยโดยเฉพาะ, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีหน้าหลัง, กระทะล้อฉาบเทฟลอนเพื่อลดการสะสมของโคลน, ไซด์บาร์ทรงกระบอก, วินช์, ดวงไฟเพิ่มเติม, ฟิล์ม 3เอ็ม, ระบบสื่อสาร และระบบแผนที่ผ่านดาวเทียม รวมถึงอุปกรณ์เพิ่มพิเศษจากโรงงานอย่างแร็คหลังคา และชุดยึดของติดกับกระบะบรรทุก

เจ้า "นักล่ามายา" จะเริ่มออกปฏิบัติงานจริงในประเทศกัวเตมาลาที่ผืนทวีปอเมริกากลาง เมื่อฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าย่างเข้ามาถึง

คอออฟโรดบ้านเราเห็นแล้วอยากจับวีโก้ไปทำอย่างนี้บ้างไหมครับ

ภาพและข้อมูล : pickuptruck.com, motortrend.com

Monday, November 08, 2004

มิตซูบิชิโคลท์ รถเล็กที่จ๊าบสุด


Mitsubishi Colt CZT (ภาพและข้อมูล carpages.co.uk) Posted by Hello

ในบรรดารถเล็ก ๆ แต่จ๊าบ ตอนนี้บ้านเราก็เห็นจะมีแต่ฮอนด้าแจ๊ซที่เรือนร่างพอไปวัดไปวา กับโตโยต้าวีออสเทอร์โบที่มากับแรงเยอะพอจะคุยข่มชาวบ้านได้บ้าง แต่รวม ๆ แล้วก็หารถฉบับกระเป๋าที่โดนทั้งค่าตัว หน้าตาและความแรงไม่มี ต่างจากตลาดยุโรปที่คึกคักกันอย่างยิ่ง

อย่างเจ้าโคลท์สามประตูที่จะลงตลาดอังกฤษในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้านั้นก็ไม่บันเบาเช่นกัน หน้าตาโฉบเฉี่ยวและรูปทรงลงตัวไม่น้อยหน้าใคร

พร้อมทั้งเครื่องเคราที่มีให้เล่นทุกระดับ ตั้งแต่เบนซิน 1.1 ลิตรตัวจี๊ด หรือดีเซล 1.5 ลิตรไดเร็กอินเจ็กชันที่แรงเยอะประหยัดสูง ยันตัวท็อปเบ็นซิน 1.5 ลิตรติดเทอร์โบ 150 แรงม้า ที่ส่งตรงจากญี่ปุ่น

โคลท์ซีแซดทีตัวท็อปนั้นถูกพัฒนาตามใบสั่งของมิตซูยุโรป ร่างพิมพ์เขียวโดยสำนักออกแบบของมิตซูในเยอรมัน ด้วยกลยุทธ์รถเล็กที่แรงโดนใจและสวยต้องตาทั้งภายในภายนอก เพื่อมัดใจนักขับกระเป๋าเบา ที่กำลังมองหารถที่เท่ มีดี ขับสนุก

มิตซูตัวจิ๋วคันนี้แรงอย่างไรนั้น ลองพิจารณาตัวเลขเหล่านี้ดูก็แล้วกัน คือ แรงม้า 150 ที่ 6000 รอบ แรงฉุด 210 นิวตันเมตรที่ 3500 รอบ เมื่อลากด้วยเกียร์ห้าสปีดแล้วเจ้านี่วิ่งจาก 0 ไป 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลา 8 วินาที โดยความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

เพื่อให้รับกับพลังข้างต้น วิศวกรมิตซูได้ยกระดับซีแซดทีจากโคลท์สามประตูตัวธรรมดาด้วยการเสริมแกร่งให้ตัวถัง ลงระบบกันสะเทือนแบบสปอร์ต ติดดิสก์เบรคหน้าขนาด 15 นิ้ว และใส่ยางไซส์กว้างแก้มเตี้ย 205/45R16 บนกระทะล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว

เมื่อเครื่องได้ที่แล้ว ทางด้านหน้าตาก็ต้องออกแนว 'ซิ่ง นั่นคือ มีกันชนหน้าที่เสริมแผงกระจังซี่ถี่ พร้อมช่องดักลมสองข้าง สปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่ ท่อไอเสียแนวสปอร์ต และเสกิร์ตข้าง

ส่วนภายใน มีเบาะอย่างรถสปอร์ต พวงมาลัยหุ้มหนังออกแบบพิเศษพร้อมปุ่มคุมเครื่องเสียง หัวเกียร์หุ้มหนัง แป้นเหยียบทั้งหลายแต่งด้วยอะลูมินัมแบบเจาะรู ที่หน้าปัดบนคอนโซลมีสีเงินแทรกแซม เพิ่มความหล่อ

ดู ๆ แล้วถือว่าโคลท์ซีแซดทีเป็นรถจากโรงงานที่ไม่ธรรมดา และจะดีไม่น้อยหากมิตซูจะส่งมาวิ่งตามถนนเมืองบางกอกบ้าง เพราะคนแถวนี้เขาล้าสายตากับฮอนด้าแจ๊ซ และโตโยต้าวีออสกันเต็มทีแล้ว

นิสสันมูราโน เก๋งสปอร์ตบวกเอสยูวี


Nissan Murano โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครบนท้องถนน Posted by Hello

ความนิยมวัตถุเคลื่อนย้ายคนที่เรียกว่ารถนั้นแปรเปลี่ยนไปตามเวลาดุจแฟชั่นอื่น ๆ

ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาอาการฮิตรถเอสยูวีแพร่กระจายไปทุกมุมโลก ใคร ๆ ก็อยากมีรถลุย ๆ เท่ ๆ คันโต ๆ ไว้นั่ง แต่หลังจากผู้คนได้ใช้เอสยูวีสักพัก ก็เริ่มตระหนักว่ารถคันสูงใหญ่นั้นเทอะทะไม่คล่องตัว แถมกินน้ำมันดุเดือด และนั่งไม่สบายอย่างรถเก๋ง ทว่าก็ประทับใจกับข้อดีของการมีที่นั่งสูง และลุยได้

ดังนั้นจึงเปิดถนนให้รถพันธุ์ทางหรือครอสโอเวอร์ที่รวมข้อดีของเอสยูวีและเก๋งเข้าด้วยกันเข้ามาเป็นทางเลือก

มูราโนจากค่ายนิสสันนั้นก็เป็นหนึ่งในครอสโอเวอร์ที่น่าจับตา และแว่วว่าอาจจะเข้าบุกเมืองไทยเสียด้วย

อย่ากระนั้นเลย "วงเล่า" จึงได้หาข้อมูลของมูราโนมาฝากกัน ซึ่งเสปคเมืองไทยจะเป็นเช่นไรก็โยนให้ท่านผู้สันทัดกรณีไปหามาเปรียบกันดูก็แล้วกัน

มูราโนมีรูปทรงโดดเด่น มีเส้นสายของรถล้ำยุคตลอดหัวจรดท้าย มองเผิน ๆ อาจนึกว่าเป็นรถสปอร์ตคูปยกสูง

ทางเอ็ดมุนส์ดอทคอมได้จับมูราโนมาทดสอบตั้งแต่เปิดตัวแรก ๆ แล้วสรุปไว้ว่า มูราโนหาใช่เป็นรถสเตชันแวกอนยกสูงดาด ๆ ธรรมดาไม่ แต่เป็นรถที่ให้การขับขี่แจ่มมาก ๆ นั่งสบาย ภายในออกแบบให้อรรถประโยชน์ดี รวมทั้งหน้าตาทั้งภายนอกภายในก็เท่สุด ๆ ส่วนเครื่องยนต์นั้นก็เดินเรียบทรงพลัง

นิสสันนั้นผลิตมูราโนในญี่ปุ่นแต่มุ่งเจาะตลาดอเมริกาเหนือ โดยพุ่งเป้าเข้ายึดหัวใจผู้ซื้อที่เมียงมองฮอนด้าไพลอต หรือโตโยต้าไฮแลนเดอร์เป็นหลัก

มูราโนมีฐานมาจากนิสสันอัลติมา และใช้เครื่องบล็อกเดียวกันคือหกสูบ 3.5 ลิตร แต่ปรับให้มีแรงม้า 245 ตัวที่ 5800 รอบ แรงฉุด 246 ปอนด์-ฟุตที่ 4400 รอบ โดยมีจุดเด่นตามแบบฉบับวีคิว คือ เครื่องเดินเรียบ แรงเยอะและให้สำเนียงเสนาะโสตยิ่งนัก

ระบบเกียร์นั้นมีทั้งแบบอัตโนมัติซีวีที และแมนวล

ในตลาดอเมริกานั้นผู้ซื้อเลือกได้ว่าจะเอาแบบขับสอง หรือขับสี่ ซึ่งหลังจากการทดสอบ เอ็ดมุนส์บอกว่าอารมณ์การขับขี่บนท้องถนนของมูราโนทั้งสองแบบนั้นใกล้เคียงกัน

มูราโนมีอุปกรณ์มาตรฐานประจำตัวให้ไม่น้อยหน้าใครอื่น ในการหยุดรถก็มีดิสก์เบรคสี่ล้อพร้อมเอบีเอส ระบบกระจายแรงเบรค และระบบช่วยเบรคทำงาน ส่วนในแง่ของการปกป้องผู้โดยสารก็มีถุงลมสำหรับผู้โดยสารด้านหน้า ม่านถุงลมข้าง และเข็มขัดนิรภัยทั้งห้าที่นั่ง

นิสสันรุ่นนี้ใช้ช่วงล่างร่วมกับรถเก๋งอัลติมา คือ มีระบบกันสะเทือนอิสระสี่ล้อ ข้างหน้าสตรัทและข้างหลังมัลติลิงค์

มูราโนในโชว์รูมแดนคาวบอยนั้นมีสองรุ่นให้เลือก คือ รุ่นนั่งสบาย-เอสแอล และรุ่นสปอร์ต-เอสอี อันให้การตอบสนองจากถนนมากกว่า รถโยนตัวน้อยกว่า ทำให้การลากเลื้อยในถนนคดโค้งเป็นของหวานคอนักซิ่ง

ด้วยความเป็นครอสโอเวอร์ มูราโนจึงบรรจุความสบายเหนือระดับกว่าเอสยูวี เป็นต้นว่า ที่นั่งคุมด้วยไฟฟ้า แท่นวางแขนที่ชักเข้าออกได้ ระบบควบคุมอากาศอัตโนมัติ ฯลฯ

เมื่อเข้าไปภายใน นิสสันใช้อลูมินัมแท้ตกแต่งตรงโน่นตรงนี้ได้กิ๊บเก๋ตาม "แนวออดี้" ที่เตะตา คือ มูราโนมีแผงควบคุมที่ดูเผิน ๆ เหมือนลอยอยู่เหนือคอนโซล ในสไตล์ของรถยุคหน้า แถมยังเบิกทางให้เก็บของได้มากขึ้นด้วย

ส่วนช่องวางสำหรับผู้ที่นิยมกินน้ำกระป๋อง น้ำขวดนั้นมีกระจายอยู่ทั่วรถ มีแม้กระทั่งที่วางโทรศัพท์ ที่เก็บเหรียญ หรือช่องที่เก็บโน๊ตบุคได้สบาย ๆ

ที่นั่งด้านหลังนั้นกว้างขวางพอตัว และหากต้องการเนื้อที่บรรทุกพิเศษก็พับเบาะหลังให้ราบได้ง่าย ๆ โดยก้านบังคับจากด้านหลังรถ ไม่ต้องเดินไปที่เบาะแถวสองแต่อย่างใด


Nissan Murano ด้านท้ายที่เน้นสวยเป็นหลัก Posted by Hello

ราคาฐานของมูราโนคือ 29,000 เหรียญสหรัฐ แต่ก็จะแพงขึ้นตามออพชัน ซึ่งของเลือกใส่เพิ่มที่เด่น ๆ ก็มีแป้นเบรค/คันเร่งแบบปรับได้ด้วยไฟฟ้า เบาะไฟฟ้า ระบบจำตำแหน่งที่นั่ง ซันรูฟ ระบบเครื่องเสียงหกซีดีจากโบส ฯลฯ

แม้ว่ามูราโนจะมีคู่แข่งที่น่าครั่นคร้ามอย่างฮอนด้าไพล็อต หรือโตโยต้าไฮแลนเดอร์ โดยทุกคันก็จะมีจุดดีจุดขายที่เครือ ๆ กัน กินกันไม่ค่อยลง แต่ความโดดเด่นของนิสสันคันนี้ที่ยากจะหาใครเทียบก็คือ หน้าตาที่ต่างจากใครในท้องถนน อันเป็นผลมาจากกรอบดวงไฟที่คาดรอบ เส้นสายที่มีจังหวะลูกขัด และกระจังที่เตะตานั่นเอง

ดังนั้นหากใครที่นึกชมชอบแมกซิมา/เทียนา แต่อยากจะเอาไปยกสูง ก็นี่เลย มูราโนเป็นคำตอบสุดท้าย

ข้อมูล : ภาพรวมของมูราโน, บททดสอบมูราโน ทั้งคู่จาก edmunds.com

Sunday, November 07, 2004

บี9เอ็กซ์ รถพันธุ์ทางใหม่หมดจดจากซูบารุ


2006 Subaru B9X ยานยนต์กึ่งรถนั่งกึ่งเอสยูวี หน้าตาใหม่พร้อมแนวคิดใหม่ Posted by Hello

บี9เอ็กซ์ รถพันธุ์ทางใหม่จากซูบารุนั้นจะต้องเตะตาชาวประชาเป็นแน่ เพราะมาด้วยกระจังและโฉมด้านหน้าที่แปลกตา โดยจมูกหายใจนั้นถูกออกแบบให้เป็นปีกประกบสองข้างกระจังโลโก้เพื่อเป็นการบอกใบ้ถึงอดีตของซูบารุที่เคยเป็นบริษัทผลิตอากาศยานมาก่อน

และเมื่อหันมองรูปทรงโดยรวมก็เห็นแนวโค้งของหลังคาที่ให้อารมณ์เคลื่อนไหวฉับไว ควบคู่กับแนวโป่งและล้ออันดุดันอวดพลัง

ซูบารุอเมริกาประกาศในงานเซาท์ฟลอริดาอินเตอร์เนชันแนลออโตโชว์ปี 2004 ว่าจะผลิตซูบารุบี9เอ็กซ์ จากโรงงานที่อินเดียนาเพื่อลงตลาดในปี 2006

โดยซูบารุรุ่นนี้ยังคงของดีที่สร้างชื่อให้รถค่ายดาวทองบนพื้นน้ำเงินมาตลอด คือ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบสมมาตร ความทนทานสูง ความปลอดภัยเยี่ยม การขับขี่สนุก ผสานกับแนวคิดใหม่ คือ รูปทรงและเส้นสายที่โดดเด่นสะดุดตา พร้อมสิ่งที่ไม่เคยมีในซูบารุมาก่อน คือ ที่นั่งสำหรับผู้โดยสาร 7 คน

ซูบารุบี9เอ็กซ์ กำหนดจะเปิดโฉมจริงในงานดีทรอยท์ออโตโชว์ และซูบารุจะถือโอกาสนั้นในการใช้แนวคิดแบบ "ซูบารุใหม่" เปิดใจเปิดกระเป๋าของคนส่วนใหญ่ให้หันมาเลือกรถซับ หลังจากที่เคยเป็นแค่เพียงรถของคนนอกกระแสมาตลอด

ข้อมูล : subdriven.com
บทความที่เกี่ยวข้อง : ซูบารุ รถของคนนอกกระแส

จีปลิเบอร์ตี้เครื่องดีเซล พร้อมตะลุย


2005 Jeep Liberty Limited 4WD รถที่มาแทนจีปเชอโรกีด้วยบุคลิกที่ต่างจากเดิม Posted by Hello

เมื่อ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เดมเลอร์ไครสเลอร์ได้ใช้ฤกษ์ที่นิวอิงแลนด์อินเตอร์เนชันแนลออโตโชว์ ประกาศราคาค่าตัวจี๊ปลิเบอร์ตี้ซีอาร์ดี

การตะลุยอเมริกาของเอสยูวีที่เป็นตัวตายตัวแทนของจี๊ปเชอโรกีคันนี้ เมื่อลงดีเซลก็ได้จุดขายใหม่อันไม่รู้ว่าจะมีใครคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่หรือเปล่า นั่นคือ เป็นเอสยูวีเครื่อง 2.8 ลิตรเทอร์โบดีเซล ที่ให้แรงฉุดอย่างเครื่องแปดสูบ ให้ฝีตีนอย่างเครื่องหกสูบ แต่ว่าประหยัดดุจเครื่องสี่สูบ ทว่าที่คุยได้แน่ ๆ คือ จี๊ปลิเบอร์ตี้ซีอาร์ดีได้กลายเป็นรถเอสยูวีขนาดกลางตัวแรกในอเมริกาที่ลงเครื่องดีเซล

ตัวเลขที่เดมเลอร์ไครสเลอร์เอาไปอ้างข้างต้น คือ จี๊ปลิเบอร์ตี้ซีอาร์ดีมีแรงม้า 160 ตัว ดื่มน้ำมันในเมืองประมาณ 9 กิโลเมตรต่อลิตร หากวิ่งถนนโล่งจะได้ประมาณ 11 กิโลต่อลิตร และที่โดดเด่นคือ ให้แรงฉุด 295 ปอนด์-ฟุตที่รอบเครื่องแค่ 1800 รอบ

เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังนั้นเป็น เทคโนโลยีฮิตตอนนี้ได้แก่ คอมมอนเรลไดเร็กอินเจ็คชันพร้อมเทอร์โบชาร์จเจอร์ชนิดแปรผัน ซึ่งในตอนออกตัวจะประพฤติตนดั่งเทอร์โบชาร์จขนาดเล็ก แต่เมื่อโดนเหยียบหนัก ๆ จะกลายเป็นเทอร์โบชาร์จขนาดใหญ่ ทำให้ได้แรงฉุดทุกระดับรอบเครื่อง

โดยจี๊ปดีเซลรุ่นนี้ติดป้ายราคาตั้งแต่ 25,125 เหรียญ ถึง 27,355 เหรียญสหรัฐแล้วแต่การตกแต่ง และพร้อมจะวิ่งออกจากโรงงานที่โทเลโด, โอไฮโอ สู่โชว์รูมในปลายเดือนนี้

การบุกตลาดอเมริกันของจีปลิเบอร์ตีซีอาร์ดีนั้นน่าจับตามองอย่างยิ่ง เพราะในถนนอเมริกันนั้นแทบจะไม่มีรถชาวบ้านที่เป็นดีเซลกันเลย แถมยังหาปั๊มเติมกันยากด้วย เว้นแต่จะเข้าปั๊มที่เป็นจุดหยุดรถบรรทุกคันยาว ๆ โต ๆ เท่านั้น

หากจีปคันนี้ไปได้ดี เชื่อว่าจะมีรถดีเซลทยอยลงตลาดอีกหลายคันเป็นแน่

ข้อมูล : motortrend.com